สถานการณ์พระพุทธศาสนา: พลิกหายนะเป็นพัฒนา

Somdet Phra Buddhaghosacariya (P. A. Payutto)

มัวแต่ด่าว่าเขา ไม่รู้ว่าเรานี่แหละตัวสำคัญ

สำหรับรัฐ ซึ่งมีรัฐบาลเป็นตัวแทน รวมทั้งผู้บริหารประเทศ และองค์กรของรัฐโดยทั่วไป ก็ต้องวางท่าทีในเรื่องนี้ให้ถูกต้อง

รัฐเป็นผู้รักษาผลประโยชน์ของประชาชน มีหน้าที่ส่งเสริมและทำประโยชน์แก่ประชาชน พระพุทธศาสนานั้นเป็นศาสนาของประชากรส่วนใหญ่ของประเทศ เป็นแหล่งอำนวยคุณธรรมจริยธรรมของประชาชน และยิ่งกว่านั้น ยังเป็นรากฐานของวัฒนธรรมไทย ตลอดจนเป็นอะไรต่างๆ ที่เป็นเอกลักษณ์ของชาติ จนเรียกว่าเป็นศาสนาประจำชาติ รัฐและผู้บริหารประเทศจึงต้องรับผิดชอบที่จะคุ้มครองดูแลรักษาทะนุบำรุงพระพุทธศาสนา

พระภิกษุทั้งหลายเป็นผู้ที่บวชเข้าไปจากพลเมืองไทย คือเป็นคนของรัฐนี่เอง ที่เข้าไปรับประโยชน์จากพระศาสนา

ถ้ามีพระประพฤติชั่วร้าย หรือเข้าไปบวชหาผลประโยชน์ ก็คือพลเมืองของรัฐเข้าไปทำอันตรายต่อพระศาสนา จึงเป็นความรับผิดชอบของรัฐ ที่จะร่วมกับผู้มีหน้าที่เกี่ยวข้องในฝ่ายพระศาสนา ที่จะเอาคนของตนกลับออกมา

มิใช่จะปัดไปว่า เป็นเรื่องของพระ ซึ่งจะกลายเป็นว่า รัฐมีส่วนร่วมเป็นใจ หรือให้ท้ายให้คนของตนเข้าไปทำลายพระศาสนา

สภาพปัญหาเวลานี้ก็คือ เราพากันปล่อยให้คนที่ขาดคุณภาพจำนวนมากมาย อพยพหรือย้ายตัวเข้าไปอยู่ข้างในพระศาสนา จะโดยเข้าไปหลบลี้หนีภัยก็ตาม อาศัยพักพิง พักผ่อน ทัศนาจร หรือแม้โดยตั้งใจดีก็ตาม ไม่ได้ค้ำจุนหรือทำประโยชน์อะไรให้แก่พระศาสนา แต่ตรงข้าม ถ่วงดึงหนักแอ้แก่พระศาสนา

ในขณะเดียวกัน คนที่อยู่ข้างในแล้ว ก็ไม่ได้รับการพัฒนาคุณภาพ เนื่องจากคนที่เกี่ยวข้องควรจะรับผิดชอบต่างก็ไม่เอาใจใส่ที่จะจัดดำเนินการ

ฝ่ายคนมีคุณภาพที่อยู่ข้างนอก แทนที่จะเข้าไปช่วยร่วมแก้ไขสถานการณ์ ก็ได้แต่นั่งด่าทอต่อว่าคนอื่นอยู่ข้างนอก โดยไม่ตระหนักถึงหน้าที่และความรับผิดชอบของตัว

พระพุทธศาสนาถูกทอดทิ้งอย่างนี้ ก็ย่อมจะต้องทรุดโทรมลงไปเป็นธรรมดา

มองอีกแง่หนึ่ง การที่คนผู้ด้อยคุณภาพทั้งหลายเข้าไปอยู่ข้างใน ดีๆ ชั่วๆ ก็ยังช่วยให้พระศาสนาหรือสมบัติส่วนรวมนี้คงมีอยู่มาถึงปัจจุบันได้ แม้จะมีสภาพโทรมหรือกะปลกกะเปลี้ยเพียงใด บ้านยังมีคนอยู่ ถึงจะง่อย ก็ยังช่วยให้ยืดอายุมาได้

คนที่มีคุณภาพทั้งหลาย ซึ่งตลอดช่วงเวลาที่ผ่านมา มัวแต่ออกไปหลงเพลิดเพลินกับผลประโยชน์และการเล่นสนุกกับคนต่างถิ่นภายนอก ละเลิงไปเสียนาน ควรจะสำนึกรู้ตัวและขอบคุณคนพวกที่ด้อยคุณภาพเหล่านั้น และบัดนี้ก็ถึงเวลาแล้วที่พวกคนผู้มีคุณภาพจะต้องหันกลับมาเอาใจใส่แสดงความรับผิดชอบของตน

มองอีกแง่หนึ่ง ตลอดช่วงเวลาที่ผ่านมา ผู้คนในสังคมนี้ต่างก็มุ่งแสวงหาผลประโยชน์เพื่อตนด้วยกันทั้งนั้น

สำหรับคนที่มีโอกาสเหนือกว่า มีความได้เปรียบ ก็หันไปสนุกกับผลประโยชน์ที่เข้ามาใหม่ๆ จากแหล่งห่างไกลภายนอก ส่วนคนพวกที่ด้อยโอกาส ไม่มีทางไป ก็เข้าไปอาศัยช่องทางเก่าที่ถูกทอดทิ้ง คือพระศาสนา พออาศัยหยิบๆ เก็บๆ ผลประโยชน์เล็กๆ น้อยๆ ได้บ้าง ตามแต่จะได้

บัดนี้ ถึงเวลาแล้วที่ทั้งสองฝ่ายจะต้องรู้สำนึกถึงการกระทำของตน แล้วหันมาปฏิบัติตัวให้ถูกต้องตามหน้าที่รับผิดชอบ โดยเฉพาะผู้มีโอกาสเหนือกว่า หรือผู้ได้เปรียบ ย่อมควรจะต้องเป็นผู้นำในเรื่องนี้ เพื่อไม่ให้ผู้ที่ด้อยโอกาสต้องถูกบีบให้หาช่องทางต่อไป

ความที่ว่ามานี้ น่าจะเป็นเครื่องเตือนสติรัฐและคณะสงฆ์ในฐานะผู้มีหน้าที่โดยตรง และโดยเฉพาะคนที่มีคุณภาพและมีโอกาสเหนือกว่า ในฐานะที่ได้เป็นผู้ละเลยความรับผิดชอบของตนในช่วงเวลาที่ผ่านมา ว่าจะต้องแสดงจิตสำนึกในความรับผิดชอบให้ปรากฏ

The content of this site, apart from dhamma books and audio files, has not been approved by Somdet Phra Buddhaghosacariya.  Such content purpose is only to provide conveniece in searching for relevant dhamma.  Please make sure that you revisit and cross check with original documents or audio files before using it as a source of reference.