ท่านพระเถรานุเถระที่เคารพนับถือ ท่านสพรหมจารีทุกท่าน
ขอเจริญพรท่านประธานกรรมาธิการศาสนาศิลปะและวัฒนธรรมแห่งสภาผู้แทนราษฎร ท่านเลขาธิการ สวช. เจ้าหน้าที่ และญาติโยมสาธุชนทุกท่าน
วันนี้อาตมภาพได้รับนิมนต์อีกครั้งหนึ่ง ให้มาแสดงปาฐกถาและอนุโมทนา ปาฐกถาครั้งนี้ไม่มีชื่อเรื่อง ถือว่าเป็นปาฐกถาเนื่องในการอนุโมทนา เมื่อเป็นปาฐกถาเนื่องในการอนุโมทนา ก็ต้องเริ่มด้วยการอนุโมทนา
ขออนุโมทนาคณะกรรมการวัฒนธรรมแห่งชาติ หรือ ส.ว.ช. ที่ได้จัดพิธีแสดงมุทิตาจิตครั้งนี้ขึ้น ซึ่งได้ดำเนินมาหลายวันแล้ว คือตั้งแต่วันที่ ๒๕ มกราคม รวมเป็นหนึ่งสัปดาห์ และตลอดระยะเวลาหลายวันนี้ก็ได้มีท่านผู้ทรงคุณวุฒิหลายท่าน ทั้งฝ่ายพระสงฆ์และฝ่ายคฤหัสถ์ มาร่วมกิจกรรมโดยเป็นเรื่องของการบรรยายธรรมบ้าง อภิปรายบ้าง ปาฐกถาบ้าง ท่านเหล่านั้นได้สละเวลามาให้ธรรมะแก่ประชาชน พร้อมทั้งถือว่าท่านได้มาร่วมให้ความสำคัญแก่งานนี้ด้วย จึงขอขอบพระคุณและอนุโมทนาแก่ทุกท่าน
โดยเฉพาะสำหรับวันนี้ในส่วนที่ปรากฏอยู่ ซึ่งญาติโยมสาธุชนได้ร่วมรับฟังเสร็จไปใหม่ๆ ก็คือการบรรยายธรรมของพระอาจารย์ชยสาโร แห่งวัดป่านานาชาติ จังหวัดอุบลราชธานี ก็ขอขอบพระคุณท่านไว้ในโอกาสนี้ด้วย อีกส่วนหนึ่งที่ได้มาทันในพิธีช่วงนี้ ก็คือการที่ประธานคณะกรรมการนิสิตมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัยได้กล่าวคำแสดงมุทิตาจิต ซึ่งถือว่าเป็นการกล่าวแสดงน้ำใจของส่วนรวมในนามของมหาวิทยาลัยสงฆ์ด้วย
กิจกรรมในส่วนนี้ ทำให้เกิดความคิดว่า การที่ท่านให้นิสิตในฐานะตัวแทนของนิสิตนักศึกษานักเรียนมากล่าวคำแสดงมุทิตาจิตนี้ ท่านคงมีความมุ่งหมายอะไรบางอย่างที่เรียกได้ว่าเป็นพิเศษ แต่ไม่มีโอกาสที่จะได้ซักถามท่าน ก็เลยคิดเอาเองโดยถือว่าเป็นนิมิตแสดงความหมายที่เกี่ยวข้องกับงานนี้ คือว่างานนี้เป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับการได้รับถวายรางวัลการศึกษาเพื่อสันติภาพ ทีนี้ประธานนิสิตประธานนักศึกษาก็เป็นตัวแทนมาในนามของสถาบันคือมหาจุฬาฯ และมหามกุฏฯ ซึ่งเป็นสถาบันการศึกษา และตัวท่านเองก็เป็นผู้กำลังศึกษา จึงคิดว่าการกระทำนี้เป็นนิมิตหมายที่มีความเชื่อมโยงกับชื่อของงาน คือว่าในฐานะที่ท่านเป็นผู้ศึกษาและอยู่ในสถาบันการศึกษา เมื่อมากล่าวแสดงมุทิตาในงานที่เป็นเรื่องเกี่ยวกับการศึกษาเพื่อสันติภาพ ก็เป็นการบอกกล่าวว่า เราจะต้องมีการศึกษากันต่อไปเพื่อให้เกิดสันติภาพ อันนี้ถือเป็นนิมิตหมายอย่างหนึ่ง
เมื่อเป็นเช่นนี้ก็ทำให้มาคิดถึงเรื่องของการศึกษาเพื่อสันติภาพอีก ซึ่งที่จริงก็พูดกันแล้วพูดกันอีก แต่เพราะเป็นเรื่องที่เกี่ยวกับรางวัล เราจึงต้องมาทำความเข้าใจกันแม้จะบ่อยไปบ้าง
อย่างไรก็ตาม ต้องขอพูดไว้แต่ต้นว่า วันนี้ไม่ควรแสดงปาฐกถายาวนัก เพราะเห็นใจญาติโยมที่มานั่งกันอยู่ตลอดเวลานาน อาจจะตั้งแต่เช้า อย่างน้อยหลายท่านก็มาตอนภาคบ่าย ตามปกติวันหนึ่งๆ เราฟังปาฐกถากันเรื่องหนึ่งก็ถือว่ามากอยู่แล้ว แต่ที่โยมมาฟังนี้ทางคณะผู้จัดงานจัดให้ฟังบางวันได้ทราบว่าตั้ง ๓ รายการ มีการอภิปรายชุดที่หนึ่ง ชุดที่สอง ชุดที่สาม หรือมีปาฐกถาแล้วก็มีอภิปราย รู้สึกว่าหนักมากทีเดียว สำหรับวันนี้เฉพาะภาคบ่ายก็มีพระอาจารย์ชยสาโรท่านได้แสดงธรรมให้ฟังแล้ว และเนื้อหาของท่านก็อยู่ในเรื่องสันตินี่แหละ ดังที่ได้ฟังกันชัดเจนอยู่แล้วว่าท่านแสวงหาหนทางแห่งสันติ และท่านก็ได้พบในพระพุทธศาสนาว่าทางที่จะนำไปสู่สันติที่แท้จริงคือสันติในจิตใจ และเมื่อเกิดสันติในจิตใจแล้ว แต่ละคนที่มีสันติในจิตใจ ก็จะประกอบกันเข้าเป็นสังคมเป็นโลกที่มีสันติ ตอนนี้ก็มาเห็นใจญาติโยมที่ฟังมามากแล้ว ความจริงเนื้อหาสาระก็มากอยู่แล้วและเพียงพอต่อการนำไปขบคิดพิจารณา เพราะฉะนั้นปาฐกถาเนื่องในการอนุโมทนานี้จึงไม่ควรจะยาวนัก