ธรรมกับไทย ในสถานการณ์ปัจจุบัน

สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ (ป. อ. ปยุตฺโต)

ถอนตัวขึ้นมาจากปลักเลนแห่งลัทธิรอผลดลบันดาล
แล้วลืมตาขึ้นมา มองให้กว้าง-คิดให้ไกล-ใฝ่ให้สูง

เหตุปัจจัยแห่งความอ่อนแอที่สังคมไทยจะต้องแก้ไขมีหลายอย่าง ข้อที่ต้องย้ำก็คือ อย่าให้สภาพแวดล้อมที่เอื้ออำนวยมามีอิทธิพลชักจูงให้เป็นคนที่เห็นแก่ความง่าย เอาแต่สะดวกสบาย ไม่ทนต่อความเหนื่อยยาก และตกอยู่ในความประมาท อย่าเป็นคนมีชีวิตแห่งการรอคอยความช่วยเหลือ หรือเป็นนักอ้อนวอนหวังพึ่งอำนาจดลบันดาล และอย่าเป็นเพียงนักเสพนักบริโภค ต้องเป็นนักผลิต หรือถ้าจะให้ดีจริงก็เป็นนักสร้างสรรค์

นักตื่นอิทธิฤทธิ์ปาฏิหาริย์ นักรออำนาจศักดิ์สิทธิ์ดลบันดาล นักหวังพึ่งไสยศาสตร์ นักโอนภาระให้เทวดา นักโยนปัญหาให้เทพเจ้าช่วยแก้ ฯลฯ เหล่านี้ ไม่ว่าผลที่เขาหวังจะสำเร็จหรือไม่ แต่ในระหว่างนั้น เขาก็ปล่อยเวลาให้ผ่านไปเปล่า ในตัวเขาเองไม่มีอะไรดีขึ้นเลย ถ้าในระหว่างนั้นเขาไม่มัวรอความช่วยเหลือแบบนี้ แต่ขวนขวายคิดหาทางทำเรื่อยไป ไม่ว่าผลภายนอกที่ต้องการจะสำเร็จหรือไม่ แต่ภายในตัวของเขาเอง เขาก็ได้แล้วมากมาย คือสติปัญญาความสามารถเป็นต้นที่พัฒนาขึ้นมา ซึ่งเป็นการได้ที่แท้จริง อันอาจมีคุณค่ามากยิ่งกว่าผลภายนอกที่เขาต้องการจะได้นั้นด้วยซ้ำ

นักรอผลดลบันดาล หรือนักหวังพึ่งความช่วยเหลือจากภายนอก กับนักเสพนักบริโภคนั้นไปกันได้ดี และมักจะมารวมอยู่ในคนเดียวกัน ทั้งสองพวกนั้นมีลักษณะร่วมกันคือไม่อยากทำ และไม่เพียรพยายามที่จะทำ เรียกได้ว่ามีชีวิตอยู่ในวิถีแห่งความเสื่อม และพาให้สังคมเสื่อมไปด้วย โดยเหตุที่ว่า

1. เพราะไม่ทำ ไม่พยายามที่จะทำ คอยแต่รับแต่เอา จะให้เขาทำให้ ก็ย่อมอ่อนแอลงไปเรื่อยๆ

2. เมื่อไม่ทำ ไม่เพียรพยายามจะทำ ก็จมอยู่กับความหวังและความฝัน เวลาผ่านไป ไม่มีอะไรดีขึ้น ไม่มีการพัฒนา

คนไทยมากมายมัวแต่หมกมุ่นเพ้อฝันและกล่อมใจตัวอยู่กับการหวังพึ่งอำนาจดลบันดาล รอคอยให้สิ่งศักดิ์สิทธิ์หรือผู้วิเศษมาช่วยเสกช่วยทำให้ เวลามากมายได้ถูกพล่าผลาญหมดไปเปล่า เพราะมัวแต่รออยู่อย่างนั้น สิ่งที่ควรทำก็ไม่ได้ทำ ชีวิตก็อ่อนแอลง สังคมก็โทรมไปทุกที ถ้าขืนเป็นกันอยู่อย่างนี้ สังคมไทยจะถูกถ่วงให้จมลงไปเรื่อยๆ

พอกันเสียที กับลัทธิรอผลดลบันดาล คอยฤทธิ์ปาฏิหาริย์มาช่วยเหลือ แต่ควรจะตื่นและลุกขึ้นมาบุกฝ่าก้าวไป ด้วยการพัฒนาความเข้มแข็งและความสามารถที่จะทำการให้สำเร็จด้วยความเพียรพยายามที่ทำตนให้เป็นที่พึ่งได้ ให้เกิดปาฏิหาริย์แห่งความสำเร็จที่ทำขึ้นด้วยตนเอง

นอกจากนี้ เพื่อให้ได้ผลดียิ่งขึ้น คนไทยจะต้องมองกว้าง-คิดไกล-ใฝ่สูง ใฝ่รู้-สู้สิ่งยาก

ถ้าสังคมไทยจะพัฒนา คนไทยจะต้องมองให้กว้าง อย่ามองแคบแบบไก่ในเข่ง อย่ามองแต่สังคมของตนเอง แล้วก็กระทบกระทั่งกันอยู่แค่นี้ไม่ไปไหน ต้องมองกว้างออกไปให้ทั่วโลกว่าเวลานี้โลกเขาเป็นอย่างไร มีปัญหาอะไร เรามีสถานะอย่างไรในประชาคมโลก เราได้มีส่วนร่วมในการแก้ปัญหาของโลกอย่างไรบ้างไหม เราจะทำอะไร เราจะไปทางไหนในโลกที่เป็นอย่างนี้

ต้องคิดให้ไกล ย้อนไปให้ถึงเหตุปัจจัยในอดีต และมองไปในอนาคตให้เห็นว่า จากเหตุปัจจัยในปัจจุบันอย่างนี้ ต่อไปโลกจะเป็นอย่างไร สังคมของเราควรมีเป้าหมายที่จะเป็นอย่างไร และจะต้องทำเหตุปัจจัยอะไรในปัจจุบันเพื่อจะให้เป็นอย่างนั้น

และใฝ่สูง คือใฝ่ในจุดหมายอันสูงส่ง ซึ่งเป็นจุดหมายแห่งการสร้างสรรค์สิ่งดีงาม มุ่งสร้างสังคมที่ดีงามและชีวิตที่ดีงาม ไม่ใช่ใฝ่ต่ำ เพียงจะหาลาภยศผลประโยชน์ส่วนตัว คำว่า “ใฝ่สูง” นี้ คนไทยมักจะใช้ในทางที่ผิด โดยคิดว่าอยากมีทรัพย์อยากมีอำนาจมาก ซึ่งเป็นการเห็นแก่ประโยชน์ส่วนตัว แต่ใฝ่สูงที่แท้จริงคือ ใฝ่ในจุดหมายอันสูงส่ง ต้องการทำสิ่งที่ดีงาม ต้องการให้สังคมไทยมีสันติสุข เป็นสังคมที่มีแต่ความร่มเย็น มีความดีงาม

เนื้อหาในเว็บไซต์นอกเหนือจากไฟล์หนังสือและไฟล์เสียงธรรมบรรยาย เป็นข้อมูลที่รวบรวมขึ้นใหม่เพื่อช่วยในการศึกษาค้นคว้าของผู้สนใจ โดยมิได้ผ่านการตรวจทานจากสมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์
ผู้ใช้พึงตรวจสอบกับตัวเล่มหนังสือหรือเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง