ตัวอย่างที่ ๔ ก็คือเรื่องซึ่งเป็นสาเหตุที่ทำให้การสันนิษฐานเตลิดไปไกล คือ ที่พระพุทธเจ้าตรัสว่า พระองค์เจริญอิทธิบาทแล้ว ถ้าทรงต้องการก็จะอยู่ได้ตลอดกัปป์ ที่ท่านเมตตาฯ ไปเขียนเป็นภาษาอังกฤษว่า
"..could live until the end of the world"
คือบอกว่าพระพุทธเจ้าจะทรงดำรงพระชนมชีพอยู่ไปได้จนกระทั่งโลกแตกหรือสิ้นโลก
แท้จริงนั้น เรื่องนี้ในคัมภีร์ท่านอธิบายไว้ชัดเจนแล้ว คือท่านชี้แจงว่า “กัปป์” มีความหมายหลายอย่าง และกัปป์ในที่นี้หมายถึง อายุกัปป์ ไม่ใช่มหากัปป์ของศาสนาพราหมณ์ ที่เป็นอายุของโลก
อายุกัปป์ ก็คือ ช่วงอายุของคนที่จะมีชีวิตอยู่ได้ในยุคนั้นๆ ซึ่งตามความหมายของยุคสมัยนั้นคนก็มีอายุอยู่ได้ประมาณร้อยปี หมายความว่า ถ้าพระพุทธเจ้าทรงต้องการจะอยู่ให้ตลอดร้อยปี เมื่อพระองค์เจริญอิทธิบาทดีแล้วก็อยู่ได้
แต่ท่านเมตตาฯคงไม่ได้ตรวจสอบข้อมูลก่อน ไม่ได้ศึกษาความหมายให้ชัด ก็จับเอาเป็น(มหา)กัปป์แบบของพราหมณ์
ในเมื่อไปเข้าใจอย่างนี้ ก็ทำให้มองพระพุทธเจ้าว่าทรงอวดอ้างพระองค์เป็นผู้วิเศษ มีฤทธิ์เก่งกาจเหลือเกิน จะแสดงปาฏิหาริย์อยู่เรื่อย พอคิดอย่างนี้แล้วก็ตีความไปกันใหญ่ อันนี้ก็เป็นตัวอย่างเพื่อชี้ให้เห็นว่า พอจับข้อมูลผิดแล้วก็เตลิดไปไกล
ยิ่งกว่านั้น ในตัวข้อมูลเองก็เหมือนกับอ่านผ่านๆ ลวกๆ ไม่ได้ดูให้ถ่องแท้ พระพุทธเจ้าไม่ได้ตรัสว่าพระองค์เองเท่านั้น แต่พระองค์ตรัสว่า "ยสฺส กสฺสจิ" คือตรัสว่า "ผู้ใดผู้หนึ่ง" หรือผู้ใดก็ตาม ไม่ใช่เฉพาะพระองค์ หมายความว่าผู้ใดก็ตามเมื่อได้เจริญอิทธิบาท ๔ ดีแล้ว ถ้าประสงค์ก็จะอยู่ได้ตลอดกัปป์
เป็นอันว่า
หนึ่ง ความหมายของคำว่ากัปป์นี้ ท่านเข้าใจผิด เรียกว่าจับข้อมูลไปผิด
สอง ก็ข้อมูลเหมือนกัน คือไม่รอบคอบ ไม่ตรวจตราข้อมูลให้ดี พระพุทธเจ้าไม่ใช่อยู่ๆ ก็ตรัสว่า ฉันนี้เก่ง จะอยู่ตลอดกัปป์เลยก็ได้ แต่พระองค์ตรัสว่า ใครก็ตามที่บำเพ็ญอิทธิบาท ๔ ดีแล้ว ถ้าต้องการก็อยู่อย่างนั้นได้ คือเป็นหลักธรรมข้อปฏิบัติสำหรับทุกคน
นี้ก็เป็นอีกตัวอย่างหนึ่งของการจับข้อมูลผิด ที่ทำให้พลาด