ก่อนจะพูดถึงการศึกษาของไทยต่อไป เราออกไปมองดูโลกกว้าง ให้เห็นสถานการณ์แวดล้อมกันก่อนสักหน่อย โดยเฉพาะความเป็นไปในประเทศผู้นำ ที่เรานับถือว่าเจริญก้าวหน้าที่สุด และในขณะที่มองดูสภาพของเขา ก็ขอให้นึกถึงภาพของสังคมไทยในปัจจุบันเทียบเคียงไปด้วย
ทำไมคนอเมริกันจึงต่อว่าสังคมของตนเอง ว่ามีความตกต่ำทางจริยธรรมถึงจุดต่ำสุดในประวัติศาสตร์ และกำลังมีภาวะหิวศีลธรรม ข้อมูลและคำเร่งเร้ากระตุ้นเตือนของคนอเมริกันต่อเพื่อนร่วมชาติของเขาเอง ซึ่งปรากฏดาษดื่นในข้อเขียน คำกล่าว และเอกสารรายงานต่างๆ ในปัจจุบัน ดังที่คัดมาให้ดูเล็กน้อย เป็นตัวอย่างต่อไปนี้ อาจเป็นคติเตือนใจหรือทำให้เกิดข้อคิดแก่คนไทย ในการที่จะคิดจัดทำหรือดำเนินการใดๆ เกี่ยวกับการป้องกันแก้ไขและปรับปรุงส่งเสริมสังคมและการศึกษาในประเทศไทย ตลอดจนทบทวนทิศทางของการพัฒนาประเทศชาติ และท่าทีต่อแม่แบบที่จะถือเอาเป็นตัวอย่างในการพัฒนานั้น โดยกำหนดจริยธรรมในการพัฒนาให้ถูกต้อง
ข้อความตัวอย่างที่คัดมาต่อไปนี้ นอกจากชี้ถึงสภาพปัญหาต่างๆ ที่กำลังเป็นอยู่แล้ว บางส่วนก็แสดงให้เห็นความเปลี่ยนแปลงและความเคลื่อนไหวต่างๆ ในการหาทางแก้ไขปัญหาของเขาด้วย
คนอเมริกัน โดยเฉพาะนักวิชาการ ตลอดจนองค์กรของรัฐในอเมริกา กล่าวถึงสภาพชีวิตจิตใจ พร้อมทั้งปัญหาสังคมและการศึกษาในประเทศของเขาในทำนองต่อไปนี้1
“จริยธรรมในอเมริกา ดูเหมือนจะเสื่อมลงถึงจุดตกต่ำที่สุดจุดหนึ่งในประวัติศาสตร์ . . . การยึดถืออุดมคติเสื่อมหาย ลัทธิถือผลประโยชน์ส่วนตัวเป็นใหญ่เฟื่องฟูขึ้น . . . วิกฤติการณ์แห่งจริยธรรมระบาดทั่วไป คือการถือเอาความเห็นแก่ตัวเป็นหลักการสูงสุดแห่งศีลธรรม . . . เรากำลังมีชีวิตอยู่ในสังคมที่มีค่านิยมสับสน ซึ่งผู้คนหมดความมั่นใจในความผิดชอบชั่วดี . . . ความโลภกลายเป็นสิ่งที่ยอมรับกันว่าเป็นแรงผลักดันการกระทำที่ชอบธรรมเต็มที่ . . .”2
“(เด็กและเยาวชนก่ออาชญากรรมโหดเพิ่มมากขึ้น เป็นเรื่องที่เขย่าขวัญของสังคม) . . . อาชญากรรมวัยรุ่นแพร่ระบาดกว้างขวางและเลวร้ายยิ่งกว่าที่เคยมีมาก่อน . . . สถาบันพื้นฐาน คือ บ้าน โรงเรียน และวัด แต่เสาหลักทางศีลธรรมเหล่านี้ กำลังหักโค่นล้มทะลาย”3 “สหรัฐมีอัตราการฆ่ากันตายสูงเป็น ๕๐ เท่าของนิวซีแลนด์ . . . สูงกว่าประเทศอุตสาหกรรมอื่นๆ เป็นอันมาก”4
“สภาพจิตซึมเศร้าทุกข์ใจทุกชนิด มีอัตราการเกิดเพิ่มขึ้นอย่างน่าตกใจ . . . คนที่ทุกข์ซึมเศร้า มีจำนวนมากขึ้นและเป็นโรคนี้เมื่ออายุน้อยลง . . . ปัจจุบันคนอเมริกันประมาณ ๑๔ ล้านคน เป็นโรคจิตซึมเศร้าแบบยืดเยื้อ ผู้หญิงเป็นโรคนี้ทุกหนึ่งในสี่คน และผู้ชายทุกหนึ่งในสิบคน . . . ในช่วงระหว่างปี ๒๕๒๓-๒๕๒๗ เด็กวัยรุ่นที่ถูกรับเข้าโรงพยาบาลจิตบำบัดของเอกชนมีจำนวนเพิ่มขึ้นกว่า ๓๕๐ เปอร์เซ็นต์”5
“ในช่วง ๓๐ ปีที่ผ่านมานี้ จำนวนคนหนุ่มสาวอเมริกันที่ฆ่าตัวตายได้เพิ่มสูงขึ้นถึง ๓๐๐ เปอร์เซ็นต์”6 “ในช่วง ๒ ทศวรรษที่แล้ว อัตราการฆ่าตัวตายในหมู่เด็กและวัยรุ่นได้เพิ่มมากขึ้น ๓ เท่า เวลานี้ การฆ่าตัวตายเป็นสาเหตุนำอันดับ ๓ แห่งการตายของเด็กอายุระหว่าง ๑๕ ถึง ๒๔”7 ”การฆ่าตัวตายของวัยรุ่นได้เพิ่มขึ้น ๓ เท่า ในช่วง ๒๕ ปีที่ผ่านมานี้ . . . มีการจัดตั้ง ‘อัตวินิบาตวิทยา’ ขึ้นมาเป็นวิชาชำนาญพิเศษเฉพาะด้านสาขาหนึ่ง . . . อัตราการฆ่ากันตายในประเทศ (อเมริกา) นี้ก็สูงอยู่แล้ว แต่กระนั้น คนที่ฆ่าตัวตายยังมากกว่าคนที่ฆ่าคนอื่นตาย”8 “วัยรุ่นขั้นโตที่มีอาการไม่ปกติเป็นโรคทางจิตอย่างแรงๆ มีจำนวนเพิ่มขึ้นมากกว่า ๕ เท่าตัว ในช่วงเวลา ๔๐ ปี ที่ผ่านมา . . . การฆ่าตัวตาย เป็นสาเหตุการตายของวัยรุ่น ที่นำหน้ามาเป็นอันดับที่ ๓”9 “ทำไมหนอ ความเครียดเนื่องจากความรู้สึกว่างเปล่า จึงแพร่หลายมากนักในวัฒนธรรมของเรา? เหตุไฉนพวกเราจึงมีความรู้สึกโดดเดี่ยว และอ้างว้างกันมากนัก?”10
“มีรายงานผลการศึกษาในปี ๒๕๒๖ ว่า คนอเมริกันใช้ยาเสพติดมากที่สุด ในบรรดาประเทศอุตสาหกรรม”11 “ยาเสพติดหลายอย่าง ถูกใช้กันตามสบายในวัฒนธรรมของเราเหมือนอย่างเป็นกาแฟ”12 “นักเรียนมัธยมรุ่น ๒๕๒๘ เกินกว่า ๙ ใน ๑๐ คนเคยดื่มสุรา เกินกว่าครึ่งเคยลองกัญชา . . . ทุกหนึ่งในหกคนเคยเสพโคเคน และทุกหนึ่งใน ๘ คน เคยใช้ยาหลอนประสาท เช่น LSD”13 “คนหนุ่มสาวดื่มเหล้ามากขึ้น ตั้งแต่อายุน้อยลงๆ . . . ขณะนี้เริ่มดื่มกันตั้งแต่อายุ ๑๒ . . . คนหนุ่มสาวตายเพราะอุบัติเหตุที่เนื่องจากดื่มเหล้า ปีหนึ่งๆ ประมาณ ๑ หมื่นคน อุบัติเหตุทางรถยนต์เนื่องจากดื่มสุรา เป็นสาเหตุนำหน้าแห่งการตายของคนอเมริกันที่มีอายุระหว่าง ๑๕ ถึง ๒๔ ปี . . . เด็กนักเรียนมัธยมปีสุดท้ายเกือบ ๑ ใน ๓ บอกว่า เพื่อนของตนส่วนมากหรือทุกคนเมาเหล้าอย่างน้อยสัปดาห์ละครั้ง . . . จำนวนเด็กดื่มเหล้าที่อายุต่ำกว่า ๑๐ ขวบ ได้เพิ่มขึ้นเกือบ ๒ เท่า ในระยะ ๖ ปีที่ล่วงมานี้”14 “ในหมู่นักบริหารขณะนี้ก็เสพโคเคนควบกับดื่มเหล้ากันดื่นเป็นธรรมดามากขึ้น”15
“เด็กหญิงวัยรุ่นในสหรัฐมีท้องทุกหนึ่งใน ๑๐ คนทุกปี . . . ในช่วง พ.ศ. ๒๕๑๓-๒๕๒๒ จำนวนเด็กวัยรุ่นที่มีเพศ สัมพันธ์ได้เพิ่มมากขึ้น ๒ ใน ๓ ในบรรดาเด็กอายุ ๑๕-๑๗ ปี ในประเทศนี้ (อเมริกา) ทุกวันนี้ เด็กผู้ชายเกือบครึ่ง และเด็กผู้หญิงเกือบ ๑ ใน ๓ มีเพศสัมพันธ์แล้ว”16 “เด็กสาววัยรุ่นผิวดำที่ยากจน มีอัตราคลอดลูก ๒๓ เปอร์เซ็นต์ . . . อัตราการคลอดบุตรสำหรับเด็กสาววัยรุ่นผิวขาว จากครอบครัวรายได้ต่ำก็สูงเกือบเท่ากันคือ ๒๑ เปอร์เซ็นต์”17
“ปีศาจร้ายแห่งโรคมรณะที่ไม่มีทางรักษา อันมีชื่อว่า เอดส์ . . . ได้ทอดเงามืดทาบทับภูมิทัศน์ทางเพศของประเทศอเมริกาเสียแล้ว”18 “ทุกวันนี้ โรคเอดส์กลายเป็นภัยวิกฤติสำหรับประเทศสหรัฐ ซึ่งจะสังหารชีวิตคนมากมายยิ่งกว่าสงครามหลายๆ ครั้งในสมัยปัจจุบัน อีกเพียง ๔ ปี แต่นี้ไป โรคร้ายนี้จะสังหารชีวิตคนอเมริกันหมดไปมากกว่าสงครามเวียดนามและสงครามเกาหลีรวมกัน . . . ‘เอดส์จะก่อให้เกิดการปฏิวัติทางเพศขนานใหญ่ พอๆ กับครั้งที่เกิดจากยาคุมกำเนิดในช่วงปี ๒๕๐๓-๒๕๑๒”19