ข้อสังเกตต่อไป คือ โลกเวลานี้เราเรียกกันในแง่หนึ่งว่า เป็นโลกยุคข่าวสารข้อมูล แม้แต่สังคมเราก็เรียกว่าเป็นสังคมข่าวสารข้อมูล หรือสังคมสารสนเทศ คนปัจจุบันคิดว่า โลกทุกวันนี้มีข่าวสารข้อมูลแพร่กระจายกว้างขวางทั่วถึงรวดเร็วมาก ก็คิดว่าคนจะฉลาด คนจะมีปัญญา จะเข้าสู่ยุคแห่งปัญญา แต่อาจจะเป็นการมองที่ไม่ถูกต้องทีเดียว เพราะอาจจะเป็นการมองในแง่เดียว แท้จริงการมีข้อมูลข่าวสารมากไม่จำเป็นต้องทำให้คนมีสติปัญญา หากว่าไม่พัฒนาคนให้รู้จักรับและใช้ข้อมูลนั้น
ข่าวสารข้อมูลนั้นถือเป็นโลกาภิวัตน์อย่างหนึ่ง เพราะเป็นกระแสที่ไหลไปทั่วโลก มีอิทธิพลแม้กระทั่งครอบงำชาวโลกได้ การที่ข่าวสารไหลไปเป็นกระแสทั่วถึงอย่างนั้น มนุษย์เราจะปฏิบัติต่อมันแตกต่างกันเป็นหลายแบบ ซึ่งอาจจะแยกง่ายๆ ดังนี้
คนพวกหนึ่งไหลไปตามกระแส และถูกกระแสท่วมทับ โดยมีอาการหลงงมงาย ถูกกระแสพัดพาไป คล้ายกับที่คนโบราณเคยงมงายในข่าวลือ แล้วก็ตกเป็นเหยื่อของข่าวสารข้อมูล
ปัจจุบันมีคนไม่น้อยที่ตกเป็นเหยื่อของข่าวสารข้อมูล และเมื่อมีข้อมูลมากๆ แต่ไม่รู้จักรับไม่รู้จักใช้ ก็กลายเป็นคนผิวเผิน ผ่านๆ ไม่เข้าถึงข้อมูลที่แท้จริง ถ้าเราไม่สามารถทำให้คนพัฒนาสติปัญญาอย่างถูกต้องให้สามารถเข้าถึงข้อมูลอย่างแท้จริง และสามารถถือเอาประโยชน์จากข่าวสารข้อมูลได้ ก็จะเป็นโทษอย่างมาก ข่าวสารข้อมูลจะกลายเป็นเครื่องมือสำหรับล่อเร้าและหลอกลวง ทำให้คนตกเป็นเหยื่อ
คนจำนวนมากมีความภาคภูมิใจว่าตนตามทันข่าวสารข้อมูล อาจจะได้รับการชื่นชมทำนองนี้ว่า แหม คนนี้เก่งมาก มีข่าวสารข้อมูลอะไรออกมา เขาตามทันหมด แต่ปรากฏว่าเขาตามทันเท่านั้น ไม่รู้เท่าทัน อันนี้ก็เป็นปัญหาของสังคมปัจจุบัน คือตามทัน แต่ไม่รู้เท่าทัน และตัวเองก็ตกอยู่ในกระแสและถูกกระแสท่วมทับพัดพาไป อย่างที่พูดไปแล้ว แต่ถ้าเรามีปัญญารู้เท่าทัน ก็จะทำให้เราดำรงตัวอยู่ท่ามกลางกระแสได้ เป็นผู้ที่ยืนหยัดตั้งหลักอยู่ได้ จัดเป็นพวกที่สอง
แต่รู้เท่าทันก็ยังไม่พอ ควรจะสามารถทำได้ดีกว่านั้นอีก คือขึ้นไปอยู่เหนือกระแส จึงจะเป็นผู้ที่สามารถนำเอาข้อมูลข่าวสารมาใช้ให้เกิดประโยชน์ได้อย่างแท้จริง จัดเป็นพวกที่สาม ที่สามารถจัดการกับกระแส โดยทำการเปลี่ยนแปลงในกระแส หรือนำกระแสให้เดินไปในทิศทางใหม่ที่ถูกต้อง คนที่จะสร้างสรรค์ปัญญาเพื่ออนาคตของมนุษยชาติ จะต้องมีความสามารถถึงขั้นอยู่เหนือและนำกระแสได้แบบพวกที่สามนี้