การศึกษากับการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์

สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ (ป. อ. ปยุตฺโต)

คนไทยสมัยนี้ใช้ไสยศาสตร์
โดยขาดความฉลาดของคนไทยสมัยก่อน

สังคมไทยปัจจุบันอยู่ด้วยความพร่ามัว (ขออภัยที่ต้องใช้คำนี้) และกำลังอยู่ภายใต้อิทธิพลของความเชื่อที่เลื่อนลอยมากมาย หวังลาภลอย ไม่หวังสิ่งที่เกิดจากความเพียรพยายามด้วยตนเอง หวังผลแบบลาภลอยทั้งจากสิ่งที่ลอยมาจากฟากฟ้าและจากสิ่งที่เลื่อนลอย และสิ่งที่จะเอาก็เลื่อนลอยอีก ไม่รู้ความเป็นเหตุเป็นผลในการทำให้เกิดสิ่งที่ต้องการ ตัวอย่างการหวังลาภลอยจากสิ่งที่เลื่อนลอยเช่น การพนัน คนหวังลาภลอยจากการพนัน พร้อมกันนั้นก็หวังจากสิ่งศักดิ์สิทธิ์ โดยอ้อนวอนขอหวย ทั้งคู่เป็นสิ่งเลื่อนลอย ลาภก็ลอย สิ่งที่คิดว่าจะอำนวยผลให้ก็เป็นสิ่งที่เลื่อนลอย

คนเรานั้นเกิดมายังมีความไม่รู้ แต่ก็สามารถฝึกและพัฒนาความรู้ให้ชัดเจนขึ้นมามากขึ้นๆ เราต้องพยายามหาความชัดเจนนั้น ไม่ใช่มัวจมอยู่ภายใต้การครอบงำของความไม่ชัดเจนและความพร่ามัวเรื่อยไป สังคมไทยปัจจุบันมีสภาพน่าเป็นห่วง ถ้าเราไม่แก้ไขปัญหานี้ อาจจะไปบรรจบกับปัญหาอีกด้านหนึ่ง ที่ทำให้วัฒนธรรมไทยเป็นวัฒนธรรมที่อ่อนแอ หนึ่ง คือความเชื่อในเรื่องเหลวไหล สอง คือความไม่ชัดเจนพร่ามัว ซึ่งทำให้เราหวังผลลาภลอยจากสิ่งที่เลื่อนลอย จากความเชื่อสิ่งศักดิ์สิทธิ์ และวัตถุมงคลต่างๆ

เราเคยตรวจสอบหรือไม่ว่า สภาพในอดีตของไทยเราเพียงแค่ช่วง ๖๐-๗๐ ปีก่อน ถึงปัจจุบัน ก็ได้มีความเคลื่อนคลาดผิดพลาดไปมาก อย่านึกว่าคนโบราณของไทยเป็นแหล่งที่มาของความเชื่อสิ่งเหลวไหลอย่างที่เป็นอยู่ หาใช่เช่นนั้นไม่ ขอให้เปรียบเทียบดูให้ดี คนไทยสมัยก่อนนั้นใช้สิ่งเหล่านี้อย่างมีหลักการมากกว่าคนปัจจุบัน อย่างน้อยที่เห็นชัดเจนคือ คนโบราณใช้ความเชื่อสิ่งศักดิ์สิทธิ์ในเชิงเป็นสิ่งเรียกร้องและกำหนดจริยธรรม ซึ่งเป็นสิ่งหนึ่งที่สำคัญและเอามาใช้เป็นสิ่งประกอบพระพุทธศาสนาได้

ในขณะที่เราสอนพระพุทธศาสนา เรายอมรับความจริงแห่งธรรมชาติของมนุษย์ว่า มนุษย์ปุถุชนย่อมมีความหวั่นไหวต่ออำนาจลึกลับของสิ่งที่มองไม่เห็น และถือว่าเป็นอำนาจเหนือธรรมชาติ แม้จะมานับถือพุทธศาสนาแล้วก็ยังมีความหวั่นไหว พุทธศาสนานั้นเป็นศาสนาแห่งปัญญา ปัญญาเป็นสิ่งที่บังคับไม่ได้ ยัดเยียดให้กันไม่ได้ จะต้องค่อยๆ สอน ค่อยๆ แนะนำพัฒนากันไป ฉะนั้นเราจึงไม่มีการบังคับ เราเริ่มด้วยการยอมรับเขาตามที่เขาเป็น แต่เราพยายามสอนเขาในสิ่งที่ถูกต้อง เราค่อยๆ ดึงเขาขึ้นมาจากความไม่รู้สู่ความรู้ แต่ตอนแรกเขาอยู่กับสิ่งเหล่านี้ ยังมีความหวั่นไหวอยู่ คนโบราณจึงใช้ความเชื่อในสิ่งศักดิ์สิทธิ์อย่างมีหลักการ โดยเปลี่ยนเบนเขาออกจากสิ่งศักดิ์สิทธิ์หรืออำนาจเร้นลับตลอดจนไสยศาสตร์ที่เต็มไปด้วยกิเลสและการเบียดเบียน เช่นการทำร้ายกัน มาสู่สิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่เป็นเรื่องของคุณธรรมความดีงาม พร้อมกับใช้เป็นเครื่องเรียกร้องจริยธรรม

สมัยก่อนพระจะให้วัตถุมงคลแก่ใครจะต้องบอกว่า ได้พระหรือของดีไปแล้ว ห้ามทำความชั่วอย่างนั้นอย่างนี้ และจะต้องทำสิ่งที่ดีอย่างนี้ๆ แต่เดี๋ยวนี้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ และวัตถุมงคลต่างๆ ได้มาด้วยเงินอย่างเดียว มีเงินก็ไปแลกเอามาได้ ขอใช้คำว่า เดี๋ยวนี้เรามีสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ซื้อได้ด้วยเงิน ซึ่งสมัยก่อนนั้นไม่มี เพราะความศักดิ์สิทธิ์ซื้อไม่ได้ด้วยเงิน แต่จะใช้เป็นเครื่องเรียกร้องศีลธรรม ซึ่งหมายความว่าใช้วัตถุมงคลเป็นสื่อนำเข้าสู่พุทธศาสนา แต่ปัจจุบันนี้ขอให้ช่วยกันมองว่า เรากำลังใช้สิ่งเหล่านี้เพื่อดึงคนออกจากพุทธศาสนา ดูให้ดีว่าจริงหรือไม่ ก่อนนี้ท่านใช้วัตถุมงคลเพื่อดึงคนขึ้นไปสู่หลักธรรมที่สูงขึ้น แต่บัดนี้เราใช้มันเพื่อดึงคนลงมาสู่ความโลภหลง สภาพเช่นนี้กำลังปรากฏอยู่ในสังคมไทย (ซึ่งไม่เหมือนกับสมัยก่อน) และจะกลายเป็นส่วนหนึ่งของวัฒนธรรมไทย (หายนธรรม) ที่กำลังแพร่หลายมากขึ้น เราจึงต้องมีความชัดเจนเกี่ยวกับหลักพุทธศาสนา

อยากจะย้ำเรื่องเหล่านี้ว่า เราควรจะมาตกลงกันให้แน่ว่าเราจะมีท่าทีและปฏิบัติต่อมันอย่างไร เพราะมันมีอิทธิพลครอบงำสังคมอยู่ มันสืบต่อมาในสังคมไทยในลักษณะที่คลาดเคลื่อนเลือนราง ผิดเพี้ยนไป

เนื้อหาในเว็บไซต์นอกเหนือจากไฟล์หนังสือและไฟล์เสียงธรรมบรรยาย เป็นข้อมูลที่รวบรวมขึ้นใหม่เพื่อช่วยในการศึกษาค้นคว้าของผู้สนใจ โดยมิได้ผ่านการตรวจทานจากสมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์
ผู้ใช้พึงตรวจสอบกับตัวเล่มหนังสือหรือเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง