ความจริงนั้น ท่ามกลางข่าวร้ายก็มีข่าวดีอยู่ด้วยปนกันไป ข่าวร้ายเวลานี้ได้ยินกันมากมาย และข่าวร้ายนั้นก็กลบด้านที่ดีเสีย ทำให้เรามองไม่เห็น อย่างน้อย ถ้าเรามองอีกด้านหนึ่ง โดยเปรียบเทียบกับเหตุการณ์ที่เคยเกิดมีที่อื่น หรือแม้แต่ในสังคมไทยของเราเอง สถานการณ์ปัจจุบันนี้ก็ยังดีกว่าที่เคยเป็นมาก่อน
เวลานี้ ที่ตื่นกันมากที่สุดก็คือเรื่องค่าเงินบาท เพราะค่าเงินบาทตกต่ำมาก จาก ๒๖ บาท เดี๋ยวกลายเป็น ๓๐ กว่าบาท เดี๋ยวกลายเป็น ๔๐ กว่าบาท จวนจะเป็น ๕๐ ตอนนี้ดีขึ้นมาหน่อย ๔๙ แล้วกลับมาเหลือ ๔๔ ก็ดีขึ้นมา แต่อย่าไปนอนใจ ถ้าปฏิบัติไม่ถูกก็มีหวังเป็น ๕๐ หรือเลย ๕๐ ได้เหมือนกัน เราอยู่ดีๆ เงินมันก็ลดหายไปเฉยๆ แล้วแถมหนี้ก็เพิ่มขึ้น อย่างคนที่รวยหน่อยเคยเป็นหนี้ ๒๖ ล้านบาท อยู่ดีๆ หนี้นั้นกลายเป็น ๔๙ ล้านบาท ไม่ใช่เฉพาะหนี้เพิ่ม ดอกเบี้ยที่จะชำระหนี้ก็เพิ่มตามขึ้นไปด้วย คนที่ฝากเงินไว้ในพวกเงินทุนหลักทรัพย์ พวกไฟแนนซ์ต่างๆ ก็ทุกข์มาก ไฟแนนซ์ล้มไป ถูกปิดไป ๕๖ แห่ง เป็นข่าวตื่นเต้นทั้งนั้น
ทีนี้มาดูอีกทีว่า ที่ค่าเงินบาทของเราตกจาก ๒๖ เป็นเลย ๔๐ บาทไปนี้ เทียบไปแล้วเคยมีเหตุการณ์ที่ร้ายกว่านี้ ถ้าจะเอาประเภทที่เหมือนกับนิทานอย่างผู้ที่อ่านคัมภีร์อรรถกถาต่างๆ คงเคยได้ยินเรื่องในอรรถกถาธรรมบทว่าเศรษฐีตกต่ำ เงินกลายเป็นถ่าน พอเงินกลายเป็นถ่านก็หมดความหมาย
ไม่ต้องถึงพุทธกาลหรอก เอาแค่ไม่นานมานี้ ในเขมรตอนที่นายพอลพตขึ้นปกครอง จะสร้างประเทศเขมรใหม่ อะไรต่ออะไรในประเทศเขมรนี้ต้องเริ่มกันใหม่ ตอนนั้นเงินกลายเป็นกระดาษ คือ แกประกาศยกเลิกธนบัตรที่ใช้กันอยู่ ให้เริ่มต้นกันใหม่ ใครมีเงินเท่าไรเก็บกักตุนไว้ก็ไม่มีความหมาย ความจริงเงินก็เป็นกระดาษอยู่แล้ว ไม่ต้องกลายเป็นกระดาษหรอก ที่จริงกระดาษมากลายเป็นเงินตามที่สมมติกัน หรืออย่างเมื่อสงครามโลกครั้งที่ ๒ เสร็จใหม่ๆ อาตมภาพเป็นเด็กๆ อยู่ ยังทัน ตอนนั้นมีธนบัตร ๑,๐๐๐ บาท พอสงครามโลกจบไปไม่กี่ปี เงินพันบาทนั้นมีค่าเหลือ ๕๐ สตางค์ ต้องมีการปั๊มตัวเลขกันใหม่ เงินพันบาทเหลือห้าสิบสตางค์
ตอนนี้ของเรา ๑ ดอลลาร์ต่อ ๔๐ กว่าบาท ไม่เป็นไร ยังดีกว่าสถานการณ์ที่เคยวิกฤติมากกว่านี้ ถ้ามองในแง่นี้ก็ทำให้สบายใจขึ้น แต่แง่ที่น่าสบายใจซึ่งเป็นจริงเป็นจังมากกว่าก็คือ ยามนี้เราจะเห็นว่าผู้คนทั่วไปที่เคยฟุ้งเฟ้อ ใช้จ่ายฟุ่มเฟือยนั้น ก็รู้จักยับยั้งชั่งใจ มีการประหยัดกันมากขึ้น และมองอีกด้านหนึ่งก็ไม่ใช่ว่าอะไรๆ จะตกต่ำไปหมด ในขณะที่เงินดอลลาร์แพงขึ้นๆ นั้น เสียงจากญาติโยมทั่วไป ทั้งในกรุงและต่างจังหวัดว่าอาหารค่อนข้างถูกลง
เมื่อวานนี้ไปสุพรรณบุรีมีญาติโยมที่นั่นบอกว่า ตอนนี้ชาวบ้านกินหมูกันจนเบื่อ เพราะว่าไปไหนๆ แม้แต่ข้างถนนก็มีหมูขาย ๓ กิโลเพียง ๑๐๐ บาท ก่อนหน้านี้กิโลละ ๘๐ บาท อาตมาไม่ค่อยเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ เพราะไม่ได้ซื้อหมูด้วย แต่ก็ยังพลอยได้ยินข่าวจากวิทยุกระจายเสียงแห่งประเทศไทย ก่อนวิกฤติเศรษฐกิจนี้ วิทยุรายงานเรื่องราคาสินค้าทั่วไป ราคาหมูตอนนั้นประมาณ ๗๕-๘๐ บาทต่อ ๑ กิโลกรัม มาตอนนี้อยู่แค่ ๗๐-๗๕ บาท นี้เป็นราคาที่ประกาศเป็นทางการ แต่ที่ชาวบ้านซื้อนั้นเหลือแค่ ๓ กิโลกรัมต่อ ๑๐๐ บาทเท่านัั้นก็มี
ที่พูดนี้ไม่ใช่ว่าของจะถูกไปทั้งหมด แต่อย่างน้อยก็ให้เห็นว่า ในความเป็นอยู่ของคนทั่วไป ที่ไม่ค่อยเกี่ยวข้องกับสินค้าต่างประเทศนั้นก็นับว่าพอเป็นอยู่ได้ บางอย่างก็อาจจะดีขึ้นด้วย แต่ทำอย่างไรจะทำให้ของที่ถูกบางอย่างนี้ขยายเป็นถูกทั่วๆ ไป และถูกต่อไปในระยะยาว แต่อย่างน้อยถ้าสินค้าพื้นฐานอย่างเช่น อาหารยังราคาถูก เราก็พออยู่กันได้ หรือของขึ้นไปแต่รายได้ก็เพิ่มอย่างสมดุล ก็ไม่เป็นไร บางทีจะเป็นเพราะเราไปพึ่งสินค้าฟุ่มเฟือยจากเมืองนอกมากเกินไปละกระมัง จึงทำให้เราต้องลำบาก อันนี้ก็เป็นแง่มุมต่างๆ ที่พึงพิจารณา
อย่างเรื่องที่ว่าเมื่อเกิดวิกฤติทางเศรษฐกิจทำให้หาการหางานทำยาก เช่นการก่อสร้างเวลานี้อยู่ในฐานะลำบากมาก ต้องหยุด ต้องค้างไปทั่ว ชาวชนบทที่เข้ามาในเมืองนั้น มาทำงานอุตสาหกรรมและทำงานก่อสร้างกันเป็นส่วนใหญ่ ตอนนี้ก็เลยไม่มีงานทำ ต้องกลับถิ่น การกลับถิ่นนั้นดูเหมือนกับแย่ ชาวบ้านบางคนอาจจะบอกว่า แหม เข้ามาหาโชคทั้งที ไม่ประสบความสำเร็จ กลายเป็นแย่ ต้องตกอับกลับบ้าน แต่ความจริงมองอีกแง่หนึ่ง การที่ชาวชนบทกลับถิ่นก็เป็นการดี (ระยะยาว)
เรากำลังวิตกกังวลกันอยู่ เคยพบกับ ส.ส.บางท่าน เมื่อก่อนวิกฤติทางเศรษฐกิจ เขาบอกว่า ตอนนี้ชุมชนชนบทกำลังจะล่มสลายหรือล้มละลายแล้ว เพราะว่าคนมีกำลังที่จะเป็นทรัพยากรของท้องถิ่นพากันหนีเข้าเมืองหมดแล้ว ชนบทถูกทอดทิ้ง หมู่บ้านต่างๆ เหลือแต่คนแก่กับเด็ก ตอนนี้ก็กลับเป็นว่าถ้ามองในแง่นั้นกลายเป็นดี คนที่เป็นกำลังที่เป็นความหวังของชนบทจะได้กลับไปท้องถิ่นของตัวเอง แต่ทำอย่างไรจะช่วยให้เขาพัฒนาท้องถิ่นขึ้นมา และถ้าคนไทยหันกลับไปฟื้นฟูการเกษตรของเรา ก็จะเป็นแนวทางที่น่าจะถูกต้องด้วยซ้ำ เพราะว่าการเกษตรของเรานี้เป็นพื้นเดิมของประเทศชาติ ประเทศไทยนี้มีความชำนาญพิเศษ ซึ่งถือว่ามีทุนเดิมดีในด้านการเกษตร แต่เรามาทอดทิ้งเพราะเราไปหวังอยากเป็นอุตสาหกรรม เช่นอยากเป็นนิกส์ เป็นต้น ตอนนี้แหละเราจะมีโอกาสที่จะหันกลับไปฟื้นฟูการเกษตร ให้เกษตรฟื้นตัวขึ้นมา
ด้านดียังมีอีกหลายอย่าง เช่น
เมืองไทยเคยเสียดุลการค้าอย่างมาก เพราะชอบนำเข้าสินค้านอก โดยเฉพาะที่ฟุ่มเฟือยต่างๆ แต่มาตอนนี้ สินค้าเข้าเริ่มลดลงๆ สินค้าออกกลับเพิ่มขึ้น ดุลการค้าทำท่าดีขึ้น
ประชาชนเกิดจิตสำนึกที่จะช่วยชาติและช่วยกันมากขึ้น ถ้าจิตสำนึกนี้ยืนยาวต่อไปก็จะดีมาก แต่ก็ควรตั้งข้อสังเกตว่าจะมองกันแค่แคบๆ สั้นๆ หรือเปล่า
ตั้งแต่เกิดวิกฤติมีทุกข์กันมากขึ้นนี้ ผู้คนดูเหมือนจะมาวัดหาพระทำบุญทำทานและฟังธรรมกันมากขึ้น แต่ก็ต้องตั้งข้อสังเกตว่า ทำอย่างไรคนจะไม่หยุดแค่หาที่พึ่งทางจิตใจ แต่ให้ก้าวต่อไปถึงขั้นเอาธรรมเอาหลักคำสอนไปใช้พัฒนาตัวเอง เพื่อทำตนให้เป็นที่พึ่งได้ และพัฒนาชีวิต พัฒนาครอบครัว พัฒนาสังคมกันต่อไป
ที่เด่นมากอย่างหนึ่ง คือ ตอนนี้ประชาชนสนใจเรื่องการบ้านการเมืองกันจริงจังขึ้น เพราะเห็นตระหนักว่าเป็นเรื่องเกี่ยวข้องมาถึงชีวิตของตัวเอง เป็นความสนใจที่แผ่ขยายลงไปถึงชาวบ้านคนใช้แรงงาน แต่ก็ต้องตั้งข้อสังเกตเช่นเดียวกันว่า เป็นความสนใจที่เข้าวิถีของประชาธิปไตยหรือยัง
ส่งท้ายด้วยข้อดีระดับโลก คือวิกฤติคราวนี้ทำให้ชื่อเสียงของเมืองไทยเด่นดังไปทั่วโลก ใครๆ ก็กล่าวขวัญถึงเมืองไทยว่าเป็นต้นเหตุของวิกฤติการณ์เศรษฐกิจของเอเชียครั้งนี้ ซึ่งมีผลกระทบไปทั่วโลก แต่ข้อนี้จะเรียกว่าชื่อเสียงหรือชื่อเสีย ก็ยังน่าสงสัย
นี่ก็เป็นแง่มุมต่างๆ ซึ่งน่าจะเป็นทางที่ดี และอาจจะเป็นจุดเริ่มต้นที่ถูกต้องก็ได้ ตรงกันข้าม ถ้าเราเดินทางต่อไปในวิถีทางก่อนวิกฤตินี้เสียอีก อาจจะกลายเป็นความผิดพลาดมากในระยะยาวจนกระทั่งแก้ตัวไม่ไหว เพราะฉะนั้นการที่มาเจอวิกฤติเสียตอนนี้จะได้กลับตัวทัน จึงอาจจะกลายเป็นดีไปเลย จึงบอกว่าอาจจะเป็นระยะเวลาเริ่มต้นที่ถูก คือเริ่มวิวัฒน์ ก็ได้ แต่ทั้งนี้ก็ต้องเข้าใจสถานการณ์ให้เพียงพอ แล้วก็จับจุดของตัวเองให้ถูกว่าอะไรจะเป็นทางแห่งความเจริญก้าวหน้าอย่างแท้จริง
สถานการณ์อื่นๆ ที่เราน่าจะมองก็เช่นว่า ตามปกตินั้นคนเวลามีความทุกข์ยาก โดยเฉพาะเวลามีทุกข์ร่วมกันจะเกิดความสามัคคี เห็นอกเห็นใจกัน ซึ่งมีร่องรอยบ้างว่าคนไทยเริ่มเห็นอกเห็นใจกัน แต่ก็ยังต้องมองต่อไปอีกว่าแง่ดีที่ว่านี้จะเกิดขึ้นจริงจังหรือไม่ คือการที่คนไทยจะมีความสามัคคีพร้อมเพรียงกัน ถ้าเราปรารภเหตุการณ์ร้ายแล้วเกิดความสามัคคีขึ้นมาจริงๆ ก็นับว่าเป็นผลดีอีกอย่างหนึ่งที่สังคมควรจะยินดีได้มาก และถ้าเรารักชาติกันจริงๆ ตอนนี้ก็ถึงเวลาที่จะแสดงออกแล้ว จะได้ดูว่าคนไทยมีความจริงใจต่อประเทศชาติแน่แท้หรือเปล่า ไม่ต้องพูดถึงรักชาติละ เอาแค่จริงใจต่อประเทศชาติก็พอ ตอนนี้เราจะสำรวจตัวเองและสำรวจพวกเรากันเองได้