ถ้ามีปัญญารู้ชัดเจน แล้วทำการทั้งหลายด้วยเจตนาที่ดีงามมุ่งสู่จุดหมายที่เป็นกุศล อารยธรรมที่แท้จริงก็มีทางที่จะเกิดขึ้น ทั้งนี้ก็ต้องประสานกันตั้งแต่การรู้ชีวิตของตัวเอง ไปจนถึงรู้โลกทั้งหมด
ถึงจะออกไปรู้โลกกว้างขวาง แต่ถ้าไม่รู้จักตัวเอง ในที่สุดก็ไปไม่รอด จึงจะต้องประสานความรู้ที่ชัดเจนทั่วตลอดเป็นองค์รวมให้ได้
องค์รวมแท้ ที่องค์ร่วมทุกอย่างสัมพันธ์กัน โยงกันถูกที่ถูกทาง พอเหมาะพอดี จะเป็นความสมบูรณ์ของการดำเนินชีวิตและกิจการทั้งหลายที่ดำเนินไปอย่างถูกต้อง
เป็นอันว่า ก็มาลงที่คำว่า “ชัดเจน” เมื่อทุกอย่างชัดเจนแล้วก็ทำแต่ละอย่างนั้นให้สุกงอม เมื่อแต่ละอย่างสุกงอมแล้วก็ประมวลกันให้เกิดความพรั่งพร้อม
จุดนี้ต้องเน้นมาก เพราะว่าถ้าปัจจัยไม่พรั่งพร้อมแล้ว เราจะทำเหตุไปเท่าไร ผลก็ไม่เกิด ใครบอกว่าทำเหตุแล้วได้ผลนั้นไม่จริง เรียกว่าพูดไม่ครบ ต้องพูดว่าปัจจัยพรั่งพร้อมจึงจะเกิดผล
เหตุอย่างเดียวยังไม่พอที่จะให้ผลที่ต้องการ ผลน่ะเกิดแน่ แต่มันเกิดผลอย่างอื่น ไม่เกิดผลที่เราต้องการ เพราะฉะนั้นต้องให้ปัจจัยพรั่งพร้อม พอปัจจัยพรั่งพร้อมจริง ก็เรียกว่าถึงที่ เป็นความพอดีที่ว่า จากเหตุก็เกิดผลขึ้นมาตรงตามที่มุ่งหมาย
ต้องมี ชัดเจน สุกงอม พรั่งพร้อม แล้วก็ ถึงที่ คราวนี้แหละ พอถึงที่ได้จุดแล้ว ทีนี้ก็พอดี พอองค์ประกอบทุกส่วนลงตัวพอดี นี่คือ องค์รวมที่แท้ ซึ่งองค์ร่วมทั้งหลายเข้ามาประสานกันพอดี เกิดมี harmony ขึ้นมา ไม่ใช่ compromise ไม่ใช่แค่ประนีประนอม พอประสานกัน ลงตัวพอดีเป็นมัชฌิมา ก็ได้ผลทันที เพราะฉะนั้นจึงลงท้ายที่พอดี ซึ่งเป็นมัชฌิมา
พอเป็นมัชฌิมาปฏิปทา เรียกสั้นๆ ว่า “มัชฌิมา” เข้าหลักที่ว่า ทุกส่วนที่เป็นองค์ประกอบหรือองค์ร่วมขององค์รวมนั้นมาประสานและเกื้อกูลกัน ก็จะทำให้ปัจจัยต่างๆ ทำงานกันอย่างกลมกลืน แล้วผลที่ต้องการก็เกิดขึ้นจนบรรลุจุดหมาย ชีวิตก็เป็นชีวิตที่ดี พ้นจากปัญหา พ้นจากความทุกข์ สังคมก็ก้าวหน้าเจริญไปด้วยดี อารยธรรมของโลกก็มีทางที่จะบรรลุผลสำเร็จ
มนุษย์จึงไม่ได้สิ้นหวังแต่อย่างใดทั้งสิ้น เป็นแต่เพียงเดินทางให้ถูกต้องเท่านั้นเอง
เมื่อใดอารยธรรมเป็นกระแสแห่งความเจริญที่เป็นธรรมสมตามชื่อของมัน เมื่อนั้นอารยธรรมก็จะนำมนุษยชาติไปสู่ความเป็นไท ให้มีความเป็นอิสระที่แท้จริง โลกจึงต้องการกระแสอารยธรรมใหม่ ที่นำมนุษย์ไปสู่ความเป็นไท