คนไทยกับสัตว์ป่า

สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ (ป. อ. ปยุตฺโต)

ไม่ว่าจะล่า หรือจะอนุรักษ์สัตว์ป่า ก็เพื่อคนทั้งนั้น
การอนุรักษ์ยั่งยืนไม่ได้ ถ้าสัตว์เมืองไร้น้ำจิตไม่จริงใจ

เวลานี้เราเห็นความสำคัญของสัตว์ป่า แต่ก็มีข้อสังเกตที่น่าสนใจคือ เวลานี้การอนุรักษ์สัตว์ป่ามีเหตุผลสำคัญว่า ทรัพยากรธรรมชาติของเราร่อยหรอลงไปแล้ว ธรรมชาติแวดล้อมเสื่อมโทรม เราจะต้องอนุรักษ์ป่าและสัตว์ป่า แต่การอนุรักษ์นั้นเขาทำด้วยเหตุผลซึ่งบางทีไม่เป็นไปด้วยจิตใจที่มีเมตตากรุณา คือไม่ได้มีน้ำใจดีงามหรือความจริงใจต่อสัตว์เลย

มนุษย์อาจจะอนุรักษ์สัตว์ป่าด้วยความเห็นแก่ตัว เวลานี้ลองดูให้ดี การที่มนุษย์อนุรักษ์สัตว์ป่านั้น ไม่ได้อนุรักษ์เพราะเห็นแก่สัตว์ป่า คือไม่ได้มีน้ำใจต่อสัตว์ป่า มิใช่เพราะมีเมตตากรุณาต่อสัตว์เหล่านั้น

การที่มนุษย์อนุรักษ์สัตว์ป่า ก็เพื่อเห็นแก่ประโยชน์ของตน คือ ไม่ได้รักสัตว์ แต่รักผลประโยชน์ของตนเอง หรือมุ่งหาและรักษาผลประโยชน์ของตนเอง เราไม่ได้เห็นแก่สุขทุกข์ของมันที่จะมีชีวิตตามธรรมชาติเลย แต่เรามีการอนุรักษ์สัตว์ป่า

แบบที่ ๑ คือ อนุรักษ์แบบพ่อค้า หมายความว่า เราอนุรักษ์สัตว์ป่าด้วยการทำให้มันแพร่พันธุ์มากๆ เพื่อเราจะได้มีสินค้าที่จะเอาไปขายหาผลประโยชน์ เรามองสัตว์ป่าเหมือนสิ่งไม่มีชีวิตจิตใจ เป็นเหมือนวัตถุ และเป็นวัตถุทางการค้า คือมองสัตว์ป่าเป็นสินค้านั่นเอง เพราะฉะนั้น เราจึงเพาะเลี้ยงสัตว์ป่าเพื่อทำเป็นอาหารบ้าง เพื่อค้าขายบ้าง คือหาผลประโยชน์ นี้เป็นการอนุรักษ์แบบพ่อค้า

แบบที่ ๒ คือ อนุรักษ์แบบนักวิทยาศาสตร์ เช่น ทดลองผสมพันธุ์ ด้วยความอยากรู้ ว่าถ้าผสมอย่างนี้ จะเกิดเป็นอย่างไรขึ้นมา โดยที่ไม่เคยมีจิตใจรักสัตว์นั้นเลย ทำเพื่อสนองความอยากของตนเองเท่านั้น ไม่มีน้ำใจที่คิดว่าสัตว์นั้นจะมีความสุขหรือความทุกข์อย่างไร แต่ถ้าเป็นนักวิทยาศาสตร์ที่มีน้ำใจ ก็จะมีเจตนาต่างออกไป

แบบที่ ๓ คือ อนุรักษ์แบบเครื่องเล่น มองสัตว์เป็นเครื่องเล่น หรือเครื่องประดับ คนที่เรียกกันว่ามีอำนาจวาสนาบารมี เอาสัตว์ป่ามาเลี้ยงไว้ประดับบ้านแสดงความยิ่งใหญ่ แม้กระทั่งเอาอวัยะของมัน เช่น หนังเสือเป็นต้น มาประดับ เอามาปูบ้าน แสดงว่าเรานี้ร่ำรวย มีฐานะโก้เก๋ สัตว์ก็กลายเป็นเพียงเฟอร์นิเจอร์ชนิดหนึ่ง

นี่คือ มนุษย์เราที่อนุรักษ์สัตว์ป่ากันนี้ ก็เป็นเพียงผลพลอยได้จากการหาผลประโยชน์ของมนุษย์เท่านั้นเอง มนุษย์ไม่ได้ทำด้วยเห็นแก่สัตว์ เพราะฉะนั้น การอนุรักษ์แบบนี้คงไม่ใช่วิธีที่ถูกต้อง

ในการอนุรักษ์นั้น อย่างน้อยเราต้องมีน้ำใจต่อมัน เราจะแก้ปัญหานี้อย่างไร

จุดหมายที่แท้จริงของการอนุรักษ์สัตว์ป่า จะต้องให้เป็นไปด้วยใจที่มีเมตตากรุณา คืออนุรักษ์สัตว์ เพื่อเห็นแก่สุขทุกข์ของมัน

ถ้าจะให้ดีคือ ให้มันมีชีวิตที่พึงประสงค์ตามธรรมชาติของมัน การที่จะทำได้สำเร็จก็คือ ต้องพัฒนาคน

การพัฒนาคน คือ พัฒนาจิตใจให้มีเมตตากรุณา แล้วการอนุรักษ์นั้นก็จะไม่แห้งแล้ง ถ้าไม่มีน้ำใจเมตตากรุณา การอนุรักษ์นั้นก็แห้งแล้ง เพราะเราไม่จริงใจต่อมัน เราไม่เห็นแก่สัตว์ป่า แต่เห็นแก่ตัวของเราเอง

ฉะนั้น เราจะต้องพัฒนาคน โดยให้การศึกษาที่ดีอย่างที่บอกเมื่อกี้แล้ว
๑. ให้รู้จักมีความซาบซึ้งในคุณงามความดีและความสวยงามตามธรรมชาติ
๒. ให้มีเมตตาไมตรี ปรารถนาประโยชน์สุขแก่มัน มีความสงสารเมื่อเห็นมันมีความทุกข์
๓. ให้มองเห็นมันเป็นสมาชิกหรือเป็นส่วนร่วมที่อยู่ในระบบนิเวศเดียวกัน ซึ่งต้องพึ่งพาอาศัยกัน แม้กระทั่งให้มีความกตัญญูต่อสัตว์

มีชาดกอีกเรื่องหนึ่ง ว่าจะไม่เล่าแล้วก็มีอีกเรื่องหนึ่งที่จะต้องเล่า คือ มีชายคนหนึ่งไปในป่า แล้วก็หลงหาทางออกไม่ได้ เวลาผ่านไปหลายวัน อดอยากขาดอาหารจะตาย พญาลิงตัวหนึ่งเป็นโพธิสัตว์มาเห็นเข้า ก็พยายามช่วยเหลือโดยมานำทางมนุษย์คนนี้ออกจากป่า

แต่พอใกล้จะออกจากป่าได้ นายคนนี้เห็นว่าตัวเองจะพ้นป่าปลอดภัยแน่ ก็มานึกว่า เราก็หิวมานานแล้ว ควรจะเอาลิงตัวนี้เป็นอาหารของเราเสียเลย เพราะว่า เดี๋ยวเราก็จะพ้นป่าไปแล้วและจะไม่ต้องอาศัยมันอีก

เมื่อคนคิดอย่างนี้แล้ว พอถึงเวลาที่พักผ่อนกันระหว่างกำลังเดินทาง พอลิงเผลอ คนก็เอาหินทุบหัวลิง เพื่อเตรียมจะกินมัน แต่ลิงซึ่งเจ็บแต่ยังไม่ตาย ก็ตื่นขึ้นมา แล้วมีบทสนทนาที่ลิงสอนคุณธรรมต่างๆ แก่คน เจ้าลิงนี้ร้องไห้ และพูดจาต่างๆ ทำให้มนุษย์ได้เกิดสำนึกในคุณธรรมขึ้นมา

นี้ก็เป็นเรื่องที่แสดงว่า บางทีคนเรานี้มีคุณความดีสู้ลิงก็ไม่ได้ หมายความว่ามีคุณธรรมน้อยกว่าลิง เพราะฉะนั้นจึงเป็นอย่างที่บอกแล้วว่า ถ้าไม่พัฒนาคนแล้ว คนเรานี้แหละจะเป็นสัตว์ป่าที่ร้ายกาจที่สุด

จึงต้องพัฒนาคนให้มีจิตใจที่มีคุณธรรม และให้มีความรู้คิด การอนุรักษ์ป่า จะต้องอนุรักษ์ด้วยใจจริง ด้วยการพัฒนาคนให้มีเมตตากรุณา การอนุรักษ์ป่าและสัตว์ป่าจึงจะสำเร็จ โลกจึงจะร่มเย็นเป็นสุขได้ ถ้าไม่ทำอย่างนี้ ก็ยากที่จะเป็นผลสำเร็จ โลกจะไม่มีทางพบสันติสุขเป็นอันขาด

เวลานี้คนก็กำลังจะทำกับคน อย่างที่คนทำกับสัตว์ป่า

เมื่อกี้ได้บอกว่า คนเราทำกับสัตว์ป่า
๑. แบบพ่อค้า คือ ขาย
๒. แบบนักวิทยาศาสตร์ คือทดลอง
๓. แบบเป็นเครื่องเล่น หรือเครื่องประดับ

เวลานี้ มนุษย์ก็กำลังทำกับมนุษย์ หรือคนกำลังทำกับคน
๑. คนขายคน เวลานี้คนขายคนกันมากทีเดียว สัตว์อื่นที่เราเรียกว่าสัตว์ป่านั้น มีไหมที่มันขายกัน แต่มนุษย์นี้ขายมนุษย์ด้วยกันเอง เอาไปทำอะไรต่างๆ มากมาย
๒. คนเอาคนเป็นสัตว์ทดลอง เพื่อสนองความอยากรู้แบบวิทยาศาสตร์โดยไร้มโนธรรม
๓. คนเอาคนเป็นเครื่องประดับ

ไปๆ มาๆ จึงบอกว่า สัตว์ป่าที่ร้ายที่สุด คือ สัตว์ป่าที่เรียกว่ามนุษย์ ไม่มีสัตว์ป่าชนิดไหนจะร้ายเท่า ถ้าไม่พัฒนาเสียอย่างเดียว สัตว์ป่าชนิดนี้จะทำลายโลก

สัตว์ป่าชนิดอื่นมีไหมที่จะทำลายโลก ไม่มีทางเลย แต่สัตว์ป่าที่เรียกว่ามนุษย์ เป็นสัตว์ป่าที่จะทำลายโลกได้อย่างแน่นอน จะทำลายทันทีทันใดด้วยอาวุธนิวเคลียร์ก็ได้ ทำลายระยะยาวด้วยการทำลายสภาพแวดล้อมของธรรมชาติทั้งโลกก็ได้ เพราะฉะนั้น จึงต้องรีบพัฒนาคนก่อนที่จะสายเกินไป

เมื่อเราพัฒนาคนได้สำเร็จ คนก็จะมีความดีงาม แล้วก็ประพฤติดีต่อคน และประพฤติดีต่อสัตว์ป่าทั้งหลายด้วย แล้วตอนนี้แหละมนุษย์จะกลายเป็นสัตว์ที่มีอารยธรรมที่แท้จริง

เนื้อหาในเว็บไซต์นอกเหนือจากไฟล์หนังสือและไฟล์เสียงธรรมบรรยาย เป็นข้อมูลที่รวบรวมขึ้นใหม่เพื่อช่วยในการศึกษาค้นคว้าของผู้สนใจ โดยมิได้ผ่านการตรวจทานจากสมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์
ผู้ใช้พึงตรวจสอบกับตัวเล่มหนังสือหรือเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง