“พึ่งตน คือพึ่งธรรม” ที่พูดเมื่อกี้นั้น เราไปสอนคนทั่วไป ถ้าพูดเรียงความไม่ชัด จัดลำดับไม่ดี เขาไม่เข้าใจหรอก แต่อย่างน้อยให้เขาเข้าใจอันเมื่อกี้ที่ว่า “จะพึ่งตน ก็ต้องมีตนที่พึ่งได้”
ไปเจอหนูน้อยก็ถามว่า “นี่หนู เธอมีตนที่พึ่งได้หรือยัง?” ที่คุณพ่อคุณแม่เลี้ยงลูกโตขึ้นมานี้ ก็เป็นเวลาที่ลูกจะเตรียมตัวฝึกไว้หัดไว้เพื่อว่าต่อไปลูกจะเลี้ยงตัวเองได้ แล้วเขาจะพึ่งตนเองได้ ใช่ไหม? ในที่สุดพ่อแม่ก็ไป ท่านไม่อยู่ด้วยหรอก แล้วตัวเอง เธอมีตนที่พึ่งได้หรือยัง
ถ้าคุณพ่อคุณแม่ยังอยู่ด้วย คุณพ่อคุณแม่อุตส่าห์มาช่วยในการฝึกในการหัดอะไรต่างๆ เป็นโอกาสให้เธอฝึกตนเตรียมตัวไว้ แต่ตัวเธอเองไม่ใช้โอกาสที่จะฝึกตนให้ตัวเองเป็นที่พึ่งได้นี่ พอคุณพ่อคุณแม่ไม่อยู่ด้วย คุณพ่อคุณแม่ไปไหนแล้ว เป็นอย่างไร ก็ทำอะไรไม่เป็น รับผิดชอบตัวเองไม่ได้ มีตนที่พึ่งไม่ได้ ก็แย่เลย
เพราะฉะนั้น เรามีพ่อแม่ มีครูอาจารย์ มีคนที่มาเหมือนเป็นที่พึ่งให้นี้ ที่จริงก็คือมาช่วยเป็นโอกาสให้เราได้ฝึกตนเตรียมไว้ เพื่อให้เราพึ่งตนเองได้ต่อไปนั่นเอง หมายความว่า ตัวเราเองนี่แหละ ต้องฝึกตนให้พร้อมที่จะมีตนซึ่งเป็นที่พึ่งได้ แล้วจะได้พึ่งตนเองได้ต่อไป เพราะฉะนั้น จะต้องมาเน้นกันตรงนี้
ว่าถึงในระดับประเทศชาติ ก็มาเน้นกันที่ประเทศไทยนี่ ไม่ต้องไปบอกว่าให้พึ่งตนๆ ไม่ต้องไปมัวเน้นกันที่ว่าให้พึ่งตน อย่างที่บอกเมื่อกี้ ถ้าเขามีตนที่พึ่งไม่ได้แล้ว จะให้เขาพึ่งตนได้อย่างไร
ขอให้ถามเมืองไทยว่า คนมีตนที่พึ่งไม่ได้ มีมากแค่ไหน หรือไม่ก็ถามว่า คนมีตนที่พึ่งได้ มีมากน้อยแค่ไหน ดูซิเมืองไทยนี่ ปัญหาของประเทศชาติ คือปัญหาที่ว่า มีคนซึ่งมีตนที่พึ่งไม่ได้เยอะ ใช่ไหม ถ้าใช่อย่างนี้ ก็คือลำบาก
เพราะฉะนั้น จะทำอย่างไร? คนในสังคมต้องช่วยกันหาทางที่จะทำให้คนรู้จักฝึกตัว พัฒนาตน ถ้าพูดในระดับประเทศ ก็คือ จะต้องพัฒนาคุณภาพของคน ด้วยการศึกษา ที่ไม่ใช่แค่หาความรู้ แต่ให้รู้จักเรียนรู้เรียนทำ ให้มีสำนึกในการที่จะฝึกตน ดังที่ว่าแล้ว
การศึกษานั้นมีความหมายแท้อยู่ที่ฝึก การฝึกนี้ก็อยู่ในหลักฝึกตนที่ว่าแล้ว เราต้องทำให้ประเทศชาติมีประชาชนที่มีคุณภาพ เป็นคนมีตนที่พึ่งได้ ให้เขาเป็นคนที่อยู่กับหลักการฝึกตน ฝึกกันเรื่อยไป ให้การศึกษาเป็นชีวิตของเขา