จะเล่าเรื่องบางอย่าง และทบทวนความรู้บางประการ เกี่ยวกับพระพุทธศาสนาในสมัยอดีต เพื่อเสริมความรู้ให้หนักแน่น และเพื่อเป็นบทเรียนแก่ชาวพุทธในกาลข้างหน้า
เรื่องแรกเกี่ยวกับสภาพบ้านเมือง ในสมัยพุทธกาล คัมภีร์พุทธศาสนา เช่นพระไตรปิฎก กล่าวถึงเมืองและแว่นแคว้นสำคัญๆ หลายแห่ง ในบรรดาเมืองเหล่านั้น เมืองที่เด่นมาก ซึ่งชาวพุทธควรรู้จักให้ดี จะกล่าวไว้ในที่นี้ ๒ เมือง คือ ราชคฤห์ กับ สาวัตถี
ราชคฤห์เป็นเมืองหลวงของแคว้นมคธ สาวัตถีเป็นเมืองหลวงของแคว้นโกศล สองแคว้นนี้เป็นแคว้นมหาอำนาจที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในครั้งพุทธกาล นอกจากมีความสำคัญในทางการเมืองแล้ว ก็มีความสำคัญในทางพุทธศาสนามากที่สุดด้วย
แคว้นมคธ นั้น มีความสำคัญเกี่ยวกับพระพุทธศาสนาตลอดมา เป็นเวลาหลายร้อยปี เริ่มด้วยเมือง ราชคฤห์ เป็นที่ประดิษฐานพุทธศาสนาให้มั่นคง ครั้นมั่งคงแล้ว ก็เป็นแหล่งที่กระจายเผยแพร่คำสอนออกไป
ส่วน เมืองสาวัตถี เป็นเมืองที่เมื่อพระพุทธเจ้าประดิษฐานพุทธศาสนามั่นคงดีแล้ว ก็เสด็จไปประทับอยู่สบายๆ แล้วแสดงพระธรรมเทศนาเรื่อยไป
ถ้าจะพูดเปรียบเทียบกัน ก็ว่าราชคฤห์เป็นฐานที่มั่น เป็นเหมือนด่านหน้าหรือป้อมค่ายที่พระพุทธเจ้าทรงตั้งกองทัพธรรม แล้วส่งกองทัพธรรมนั้นดำเนินการขยาย กระจายคำสอน ส่วนเมืองสาวัตถีที่เชตวันเป็นแหล่งป้อนข้อมูลหรือเตรียมเสบียงให้ พระพุทธเจ้าเสด็จไปประทับที่นั้น แล้วก็แสดงธรรมประทานเนื้อหาคำสอนต่างๆ พระแม้จะออกไปจากเมืองราชคฤห์ แต่ก็ได้คำสอนจากสาวัตถีหรือจากพระเชตวันนี้ เพราะฉะนั้น ๒ แห่งนี้ ก็มีความสำคัญด้วยกันทั้งคู่
เราจะเห็นความเป็นไปในประวัติศาสตร์ สนับสนุนเรื่องที่อาตมภาพกล่าวมานี้ว่า สาวัตถีพระพุทธเจ้าประทับและแสดงธรรมมากก็จริง แต่ในด้านเหตุการณ์สำคัญเกี่ยวกับการแพร่หลายหรือขยายเผยแผ่พระพุทธศาสนา ราชคฤห์เป็นศูนย์กลางทั้งหมด ตอนแรกพระพุทธเจ้าไปแสดงธรรมแก่พระเจ้าพิมพิสาร และทำให้พระเจ้าพิมพิสาร พร้อมทั้งข้าราชบริพาร และประชาชนนับถือพระพุทธศาสนา ต่อมาทรงได้อัครสาวกคือพระสารีบุตร และพระโมคคัลลาน์ ก็ได้ที่เมืองนี้
ที่เมืองราชคฤห์นี้ พระพุทธเจ้าทรงบำเพ็ญพุทธกิจ จนประดิษฐานพระพุทธศาสนามั่นคง แต่พระองค์ประทับที่นั่นเพียง ๓ พรรษาเท่านั้น ก็ทรงทำงานเรียบร้อย ต่อจากนั้น ก็ไว้วางพระทัยพระสาวกทั้งหลายได้ให้ทำงานกันไป จนกระทั่งเมื่อพระพุทธเจ้าเสด็จปรินิพพานแล้ว เมืองราชคฤห์หรือแคว้นมคธ ก็เป็นสถานที่สำคัญในการทำงานทางพุทธศาสนาอีก คือเป็นที่ทำการสังคายนา พอพระพุทธเจ้าปรินิพพานได้ ๓ เดือน ก็มีการจัดสังคายนาครั้งที่ ๑ จัดระเบียบคำสอนของพระพุทธเจ้าให้เป็นหมวดหมู่ เป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน การสังคายนานั้นก็ทำที่เมืองราชคฤห์แห่งแคว้นมคธนี้
ต่อมาอีก ๒๐๐ กว่าปี มีพระเจ้าแผ่นดินผู้ยิ่งใหญ่เกิดขึ้นคือ พระเจ้าอโศกมหาราช ครองแคว้นมคธ ตอนนั้นเมืองหลวงของแคว้นมคธได้ย้ายจากราชคฤห์ไปอยู่ที่ เมืองปาตลีบุตร ปัจจุบันเรียก ปัตนะ อยู่เลยจากนาลันทาไปนิดเดียว เป็นเมืองหลวงของแคว้นมคธในยุคหลัง คือหลังจากราชวงศ์พระเจ้าพิมพิสารแล้ว ต่อมาก็ย้ายเมืองหลวงไปอยู่ที่ปัตนะ หรือปาตลีบุตรนี้
พระเจ้าอโศกครองราชย์อยู่ที่เมืองปาตลีบุตร ก็ได้ทำสังคายนาครั้งที่ ๓ ส่งพระธรรมทูตออกประกาศศาสนาจากปาตลีบุตรนี้ เพราะฉะนั้นมคธจึงเป็นดินแดนที่เผยแพร่พระพุทธศาสนา และทำหน้าที่นี้ตลอดมา พระศาสนทูตที่มายังเมืองไทย มาสุวรรณภูมิ พระโสณะและพระอุตตระก็มาจากที่นี่ ในลังกา พระมหินท์ และพระสังฆมิตตาเถรีก็มาจากที่นี่ คือมาจากแคว้นมคธ
เพราะฉะนั้น มคธจึงเป็นถิ่นฐานสำคัญในทางพระพุทธศาสนาเป็นอย่างมาก จนกระทั่งมาถึงท้ายสุด ตอนพระพุทธศาสนาจะสูญสิ้นจากอินเดีย ตอนนั้นราชวงศ์ที่ครองอินเดียคือ ราชวงศ์ปาละ ต่อจากปาละ ก็มีราชวงศ์เล็กชื่อ เสนะ เขามักรวมเรียกกันในทางศิลปะว่า ปาลเสนะ ปาละเป็นราชวงศ์ที่นับถือพุทธศาสนา ก็ครองราชย์ที่เมืองปาตลีบุตรเช่นกัน จนกระทั่งมุสลิมบุกเข้ามาทำลายหมด
โดยนัยนี้ มคธจึงมีความสัมพันธ์กับพระพุทธศาสนาตลอดมา และเพราะเหตุที่ว่าได้เป็นสถานที่สำคัญทางพระพุทธศาสนา จึงมีวัดวาอารามมากเหลือเกิน บางวัดก็ใหญ่โตเป็นมหาวิหาร ที่เรียกเป็นมหาวิทยาลัยในปัจจุบัน เช่น นาลันทา ก็อยู่ในแคว้นนี้ เพราะเหตุที่มีวัดวาอารามมากนี้ แม้เมื่อพระพุทธศาสนาจะสูญสิ้นไปแล้ว ก็มีซากวัดวาอารามเหลืออยู่ทั่วไป
ต่อมาคำว่า มคธ ได้เลือนหายไปจากความทรงจำของชาวอินเดีย แต่เพราะเหตุที่มีวิหาร หรือวัดมากมาย คำว่า วิหาร หรือวัดนี้ก็กลายเป็นชื่อของแคว้นหรือรัฐนี้ แทน มคธ แต่คำว่า วิหาร ได้แปลงมาเป็น พิหาร ตัว ว แผลงเป็น พ ได้ เช่นคำว่า วงศ์ ก็แผลงเป็น พงศ์ ได้ คำว่า วรรณ เป็น พรรณ ได้ ตัว ว เป็น พ ในภาษาไทยมีใช้กันมากมาย ปัจจุบันในแผนที่นี้ก็เขียนไว้ว่า พิหาร นี่คือชื่อรัฐ หรือแคว้นนี้ในปัจจุบัน เดิมก็คือแคว้นมคธ เพราะเหตุที่มีซากวัดวาอารามมาก ก็เลยเรียกตามสภาพที่เป็นมาทางประวัติศาสตร์ว่า วิหาร หรือ พิหาร
นอกจากนี้ อาตมภาพก็อยากจะเล่าให้เห็นภาพชีวิตของคนในยุคนั้นเพื่อจะได้เห็นภาพของมคธ และโกศลเพิ่มขึ้น พร้อมทั้งความสัมพันธ์ระหว่างเมืองทั้งสองนั้น อาตมภาพเคยเล่าไปบ้างแล้วว่าพระเจ้าแผ่นดิน ๒ แคว้นนี้เป็นญาติกันโดยการแต่งงาน คือ พระกนิษฐภคินีของแต่ละแคว้นไปเป็นมเหสีของพระมหากษัตริย์อีกแคว้นหนึ่ง พระเจ้าพิมพิสาร แห่งแคว้นมคธ มีมเหสีเป็นน้องสาวของ พระเจ้าปเสนทิโกศล แห่งแคว้นโกศล พระเจ้าปเสนทิโกศลที่ครองกรุงสาวัตถีแห่งแคว้นโกศล ก็มีมเหสีเป็นน้องสาวของ พระเจ้าพิมพิสารแห่งแคว้นมคธ
หรืออย่าง อนาถบิณฑิกเศรษฐี ซึ่งเป็นเศรษฐีประจำเมืองสาวัตถีแห่งแคว้นโกศลก็มารู้จักพระพุทธเจ้า มานับถือพระพุทธศาสนาที่กรุงราชคฤห์ เพราะแกมีเพื่อนเป็นเศรษฐีที่กรุงราชคฤห์ คราวหนึ่งมาเยี่ยมเยียนเพื่อน ตอนนั้นพระพุทธเจ้าอุบัติขึ้นแล้ว แกก็เลยได้รู้จักพระพุทธเจ้าแล้วก็เลื่อมใส ประกาศตนเป็นพุทธศาสนิกชน เป็นอุบาสก แล้วนิมนต์พระพุทธเจ้าเสด็จไปที่แคว้นโกศล ไปประทับที่สาวัตถี เป็นครั้งแรกที่ทำให้พระพุทธเจ้าเสด็จไปสาวัตถี แล้วแกก็ได้สร้าง เชตวัน ถวาย ซึ่งพระพุทธเจ้าเสด็จไปจำพรรษามากที่สุด รวมถึง ๑๙ พรรษา
อีกท่านหนึ่ง ที่มีความสำคัญมากในพระพุทธศาสนา คือ มหาอุบาสิกาชื่อ วิสาขา ท่านผู้นี้ก็อยู่ที่สาวัตถีเช่นเดียวกัน มหาอุบาสิกาวิสาขานั้น พ่อชื่อว่า ธนญชัยเศรษฐี ธนญชัยเศรษฐีนั้นก็เป็นลูกของเมณฑกเศรษฐี เมณฑกเศรษฐีเป็นเศรษฐีอยู่ในแคว้นมคธ แคว้นมคธนั้นรุ่งเรืองมาก มีเศรษฐีมาก แต่ก่อนนี้แคว้นใดจะแสดงความรุ่งเรืองของตน จะต้องบอกได้ว่าตนมีเศรษฐีเยอะ ทีนี้แคว้นมคธมีเศรษฐีเยอะ แคว้นโกศลก็เลยขอเศรษฐีไปคนหนึ่ง ทำนองขอยืมเพื่อจะไปประดับเกียรติของแคว้น
พระเจ้าโกศลขอเศรษฐีคนหนึ่งจากแคว้นมคธ ทางแคว้นมคธก็ให้ธนญชัยเศรษฐี ซึ่งเป็นลูกของเมณฑกเศรษฐี เดินทางไปยังแคว้นโกศล ธนญชัยเศรษฐีได้ไปสร้างเมืองขึ้นใหม่ชื่อว่าเมืองสาเกต อยู่ใกล้ๆ เมืองสาวัตถี ธนญชัยเศรษฐีก็เป็นบิดาของนางวิสาขา วิสาขาก็เป็นมหาอุบาสิกา ได้สร้างวัดสำคัญ ชื่อว่า วัดบุพพาราม ที่พระพุทธเจ้าได้ประทับหลายพรรษา รวมทั้งหมด ๖ พรรษา สลับไปมากับเชตวันของอนาถบิณฑิกเศรษฐี
อาตมภาพอยากจะเล่าเรื่องทั่วไป เป็นตัวอย่างให้ฟังกันอีกสักเรื่อง ที่แสดงภาพชีวิตในสมัยพุทธกาลเกี่ยวข้องกับเมืองสาวัตถีและเมืองราชคฤห์นี้ เป็นเรื่องเกี่ยวกับพระภิกษุณีกับพระภิกษุ พระภิกษุณีรูปหนึ่งซึ่งเป็นพระอรหันต์เป็นมารดาของพระภิกษุรูปหนึ่ง ซึ่งเป็นพระอรหันต์เหมือนกัน โยมอาจจะสงสัยว่าเป็นได้อย่างไรกัน พระภิกษุณีมีลูกเป็นพระอรหันต์ อาตมภาพจะเล่าแทรกสักหน่อย เพื่อประดับให้มองเห็นภาพชีวิตในสมัยพุทธกาลมากขึ้น
ที่กรุงราชคฤห์ในสมัยพุทธกาล มีตระกูลเศรษฐีตระกูลหนึ่งมีลูกสาวคนเดียว ลูกสาวคนนี้เกิดมาแล้วก็มีจิตใจโน้มไปทางพระศาสนา ตอนนั้นพระพุทธเจ้าประดิษฐานพระพุทธศาสนาไว้ในแค้วนมคธมั่นคงแล้ว แกก็มีจิตศรัทธา คิดจะบวชอยู่เรื่อย ทีนี้เมื่อเติบโตพอสมควรก็อ้อนวอนขอร้องบิดามารดาที่เป็นเศรษฐีว่า อยากจะออกบวช ฝ่ายเศรษฐีบิดามารดาก็ไม่อนุญาต บอกว่าตระกูลของเรามีลูกคนเดียว ถ้าลูกไปบวชแล้วใครจะสืบต่อวงศ์ตระกูล ทรัพย์สมบัติจะเอาไปไหน ก็ไม่ยอมให้บวช จะขอร้องอย่างไรก็ไม่สำเร็จ แกก็เลยตั้งความหวังว่า เอาละต่อไปมีครอบครัวแล้วค่อยคิดใหม่ สามีของเราอาจจะเป็นคนที่พูดง่ายก็ได้ ต่อมาแกก็แต่งงาน แต่งงานไปได้ระยะหนึ่ง พอมีโอกาสก็พูดกับสามี สามีก็ตกลง เป็นอันว่าให้บวช สามีก็เป็นเจ้าภาพในการบวชของภรรยาที่เป็นธิดาเศรษฐีนี้ แต่เขามีความคุ้นเคยกับสำนักภิกษุณีที่เป็นฝ่ายของ พระเทวทัต ก็เลยพาไปบวชในสำนักภิกษุณีนั้น
ภิกษุณีนั้นตอนที่บวชแกไม่รู้ตัวว่า แกได้เริ่มตั้งครรภ์แล้วนิดหน่อย บวชต่อมาครรภ์ก็โตขึ้นๆ ฝ่ายภิกษุณีทั้งหลายมองเห็นเมื่อครรภ์ปรากฏชัดก็บอกว่า นี่เธอยังไงกันนี่ มาบวชเป็นภิกษุณี ทำไมมีครรภ์ล่ะ พระภิกษุณีองค์นั้นก็บอกว่าฉันก็ไม่ทราบเหมือนกัน มันยังไงกันแน่ แต่ฉันรู้ตัวว่าฉันบริสุทธิ์แน่นอน ก็เกิดเป็นปัญหาขึ้นมา
พระภิกษุณีทั้งหลายก็บอกว่า เรื่องนี้ต้องชำระความให้เสร็จสิ้นกันไป แล้วก็สั่งว่างั้นเราไปหาพระเทวทัตให้ตัดสินเรื่อง ตกลงพระภิกษุณีทั้งหลายก็พาเอา พระภิกษุณีธิดาเศรษฐี ไปหาพระเทวทัตให้ตัดสินความ ฝ่ายพระเทวทัตได้รับเรื่องพิจารณาก็คิดห่วงแต่ชื่อเสียงของตน คิดว่าเรื่องนี้มันเกิดขึ้นในฝ่ายของเรา ถ้าหากปรากฏข่าวออกไปเราก็เสียชื่อหมด อ้อ! ภิกษุณีในฝ่ายของเทวทัตมีครรภ์! หมดแล้ว เสียหายหมด จิตใจไม่ได้เอาเมตตากรุณาเป็นที่ตั้ง นึกถึงแต่เรื่องกลัวตัวเองจะเสียชื่อ ก็ไม่ได้คิดอะไรมาก นึกอะไรก็ไม่ออก ความรู้ก็ไม่ชัดว่าจะพิจารณาเรื่องนี้อย่างไรดี ก็เลยตัดสินเอาง่ายๆ ว่า พวกเธอจัดการสึกกันไปเสียเถอะ อย่าให้มันมีเรื่องอื้อฉาวขึ้นมา ยกเรื่องปัดไปเลย
ฝ่ายภิกษุณีพวกนั้นก็พูดกับภิกษุณีลูกเศรษฐีว่า นี่พระเทวทัตท่านก็ได้สั่งให้สึกแล้วจะว่ายังไง ฝ่ายภิกษุณีธิดาเศรษฐีก็เสียใจมากบอกว่า ดิฉันนี้ก่อนจะบวชได้ก็ยากเย็นเหลือเกิน เป็นผู้บวชด้วยความตั้งใจจริง แม้บวชมาแล้วก็พยายามตั้งใจปฏิบัติธรรมเต็มที่ เพราะฉะนั้น จะให้เหตุการณ์เล็กน้อยที่ดิฉันเองก็เป็นผู้บริสุทธิ์ มาทำลายชีวิตของดิฉันทั้งหมด ทำลายความตั้งใจความเพียรพยายามของดิฉันทั้งหมด มันไม่สมควรเลย เอาอย่างนี้เถอะ ดิฉันไม่ได้บวชในศาสนาของพระเทวทัตนะ ดิฉันบวชในศาสนาของพระพุทธเจ้า อย่างไรก็ขอให้ได้นำคดีนี้ไปถวายพระพุทธเจ้าตัดสินเถิด ขอให้ถึงพระพุทธเจ้าก่อน
พระภิกษุณีพวกนั้นก็เห็นใจบอกว่า ตกลงเราจะไปเฝ้าพระพุทธเจ้า แต่ภิกษุณีสำนักพระเทวทัตอยู่ในเมืองราชคฤห์ ส่วนพระพุทธเจ้าตอนนั้นประทับอยู่ที่เชตวัน เมืองสาวัตถี คณะภิกษุณีเหล่านั้นจึงต้องพากันเดินทางจากเมืองราชคฤห์ไปเมืองสาวัตถี ท่านกล่าวไว้ในคัมภีร์ว่าเป็นระยะทางเดินทั้งหมด ๔๕ โยชน์
อาตมภาพเอามาเทียบกับที่เราเดินทาง เราเดินทางจากพุทธคยา ไปราชคฤห์ ผ่านเมืองพาราณสีก่อน ๒๓๐ กม. จากพาราณสี สารนาถไปโครักขปุระ ๑๘๐ กม. จากโครักขปุระไปสาวัตถี ๑๗๒ กม. รวมเป็น ๕๘๒ กม. นี่เป็นระยะทางที่พระภิกษุณีเหล่านั้นเดินทางไป แต่ถ้าเทียบกับที่คัมภีร์กล่าวไว้ ๔๕ โยชน์ อาตมภาพคิดคร่าวๆ เป็นไมล์ได้ประมาณ ๔๕๐ ไมล์ ก็ได้ ๗๒๐ กม. ยาวกว่าที่เราเดินทางคราวนี้ อาจเป็นได้ว่าเส้นทางเดินสมัยโบราณเป็นเส้นทางเกวียน อาจจะอ้อมกว่า เหมือนอย่างสมัยปัจจุบันนี้ไปสุพรรณฯ เมื่อ ๗-๘ ปี ก่อนไปเส้นทางเก่าทางรถยนต์ประมาณ ๑๖๐ กม. แต่เดี๋ยวนี้เส้นทางใหม่เหลือ ๑๒๐ กม.แล้ว แต่เส้นทางเดินทางใกล้ไกลต่างกันได้ ตัวเลขนี้ก็ไม่ห่างกันมากนัก ก็เป็นอันว่าท่านต้องเดินทางกันเป็นระยะทางยาวนานเลยทีเดียว แล้วไปเฝ้าพระพุทธเจ้า
เมื่อไปถึงพระเชตวันแล้ว คณะพระภิกษุณีเหล่านั้นก็นำพระภิกษุณีธิดาเศรษฐีเข้าเฝ้าพระพุทธเจ้า กราบทูลเรื่องทั้งหมดถวาย พระพุทธเจ้าทรงพิจารณาแล้วก็ทรงทราบว่าเป็นเรื่องที่คงตั้งครรภ์มาก่อนบวช แต่จะตัดสินไปเฉยๆ คงไม่เป็นการดี คนอาจติฉินนินทา ยิ่งเป็นพระภิกษุณีที่เคยอยู่ในสำนักพระเทวทัตด้วย คนก็อาจบอกว่า โอ! นี่พระพุทธเจ้าเอาภิกษุณี ที่พระเทวทัตทิ้งแล้ว มาเลี้ยงดู หรือว่าเป็นการสนับสนุนพวกที่แตกมาจากฝ่ายโน้นมาเข้าฝ่ายนี้ เป็นการไม่ดี ต้องทำให้เรื่องนี้ปรากฏชัดในที่ประชุม พระองค์จึงตรัสสั่งพระอานนท์ให้ไปเตรียมการเชิญบุคคลสำคัญมา ถ้าว่าถึงชาติตระกูลภิกษุณีนี้ก็เป็นผู้ใหญ่เหมือนกัน เป็นธิดาเศรษฐี ก็ให้ไปเชิญพระเจ้าปเสนทิโกศล อนาถบิณฑิกเศรษฐี นางวิสาขามหาอุบาสิกามายังที่ประชุม ทางฝ่ายพระภิกษุก็ทรงมอบพระอุบาลี ซึ่งเป็นพระวินัยธร ให้เป็นเจ้าของเรื่อง
วันรุ่งขึ้น นัดประชุมแล้วก็พิจารณาเรื่องในที่ประชุม พระอุบาลีเป็นเจ้าของเรื่อง ได้พิจารณาไต่สวนกัน พระอุบาลีก็มอบให้นางวิสาขามหาอุบาสิกาพิจารณาความ นางวิสาขาก็ไปสืบสาวราวเรื่องกับนางภิกษุณี ดูสภาพร่างกาย สืบถามประวัติความเป็นมาแล้วก็วินิจฉัยได้ว่า จะต้องตั้งครรภ์มาก่อนอุปสมบท จากนั้นก็นำเอาเรื่องราวที่ได้ไต่สวนทั้งหมดมาเล่าให้พระอุบาลีฟัง และนำเข้าที่ประชุมวินิจฉัยโดยพร้อมหน้า ตัดสินได้ว่านางภิกษุณีธิดาเศรษฐีเป็นผู้บริสุทธิ์ ได้ตั้งครรภ์มาก่อนอุปสมบท เป็นอันว่าเรื่องราวเสร็จสิ้นไปด้วยดี เป็นที่ปรากฏแจ่มชัดแก่มหาชน พระภิกษุณีนั้นก็พ้นคดีไป
เมื่อท่านพ้นคดีแล้ว ก็อยู่ปฏิบัติธรรมเรื่อยมา จนกระทั่งครรภ์แก่ก็ได้คลอดบุตร แล้วท่านก็เลี้ยงเด็กอยู่ในสำนักนางภิกษุณีนั้นเอง อยู่มาวันหนึ่ง พระเจ้าปเสนทิโกศล เสด็จมาเฝ้าพระพุทธเจ้า คือพระองค์เสด็จมาบ่อยๆ มาเฝ้าพระพุทธเจ้าเรื่อย วันหนึ่งก็เสด็จมาทางสำนักภิกษุณีได้ยินเสียงเด็กทารกร้อง ก็ตรัสถามข้าราชบริพารว่า เด็กทารกที่ไหนมาร้องอยู่ในวัดในวา ข้าราชบริพารก็ทูลว่า นี่ก็คือเด็กทารกลูกของนางภิกษุณีองค์นั้น องค์ที่ได้ตัดสินคดีในวันนั้น พระเจ้าปเสนทิโกศลก็ตรัสว่า เรื่องการเลี้ยงดูเด็กเป็นเรื่องยาก ท่านเป็นภิกษุณี ท่านย่อมไม่สะดวกในเรื่องปัจจัยการเป็นอยู่ การที่จะเลี้ยงเด็กย่อมไม่สะดวกเลยทุกประการ เราควรจะช่วยเหลือท่าน
พระเจ้าปเสนทิโกศล ก็เลยไปขอเด็กทารกนั้นมา บอกว่าจะขอไปเลี้ยงในวัง เป็นอันว่าเด็กคนนั้นก็เลยได้ไปอยู่ในวัง เป็นอย่างราชกุมาร เด็กที่เป็นตระกูลเจ้าเขาเรียกกุมาร พอเติบโตในวังคนทั้งหลายก็เรียกว่า กุมารกัสสปะ แปลว่า กัสสปะผู้เป็นกุมาร หมายความว่า กัสสปะลูกเจ้านาย หรือกัสสปะเด็กชาววัง อะไรทำนองนั้น หรืออย่างพระพุทธเจ้าเวลาส่งของเล็กๆ น้อยๆ ไปให้เด็กคนนี้ก็ทรงเรียกว่ากุมารกัสสปะ ก็เลยเรียกกันมาว่า กุมารกัสสปะ
เวลาผ่านไป จนกระทั่งเด็กน้อยอายุ ๗ ขวบ ก็ได้มาบวชเป็นสามเณร ศึกษาปฏิบัติธรรมจนได้บรรลุเป็นพระอรหันต์องค์หนึ่ง ชื่อว่า พระกุมารกัสสปะ เป็นผู้มีชื่อเสียงมากสามารถในการแสดงธรรม จนได้รับยกย่องจากพระพุทธเจ้า เป็นเอตทัคคะในบรรดาภิกษุผู้แสดงธรรมวิจิตร อันนี้เป็นฝ่ายลูก อนาคตของฝ่ายลูกได้พัฒนามาจนสมบูรณ์ ก็เป็นผู้บรรลุธรรมสูงสุดในพระพุทธศาสนาแล้ว
ส่วนนางภิกษุณีผู้เป็นมารดานั้น ตั้งแต่บุตรของตนไปอยู่ในวังแล้วก็เฝ้าห่วงใย ร้องไห้คิดถึงแต่บุตรของตนตลอดเวลา แม้จะได้ตั้งใจปฏิบัติธรรม แต่หากใจหนึ่งก็คิดถึงแต่ลูก จึงไม่เป็นอันปฏิบัติธรรมได้จริงจัง มีกังวล มีห่วงเกิดขึ้น ร่ำร้องหาแต่ลูกเรื่อยมา ก็เลยไม่บรรลุมรรคผลอะไรทั้งสิ้น อยู่มานานจนกระทั่งวันหนึ่ง เดินบิณฑบาต ตอนนั้นพระกุมารกัสสปะเป็นพระอรหันต์แล้ว พระภิกษุณีมารดามาเจอเข้ากับลูก พอเจอเข้าด้วยความดีใจเป็นอย่างยิ่งก็ร้องเรียกว่าลูกรัก แล้วก็โผเข้าไปหา แต่อารามร้อนรน พอโผเข้าไปหาก็ซวนเซแล้วก็พลาดล้มลงไป เขาว่ากันว่ามารดาพอนึกถึงลูกรักน้ำนมจะไหล ก็ปรากฏว่าน้ำนมไหลเปื้อนจีวร แล้วก็ไปจับลูก
ฝ่ายพระกุมารกัสสปะ ก็มีใจเมตตาการุณย์ต่อมารดา นึกถึงว่า มารดายังไม่ได้บรรลุธรรม เป็นเพราะความรัก ความห่วงใยในตัวเราผู้เป็นบุตร เราจะช่วยอย่างไรดี ถ้าหากว่า ให้แม่มีจิตใจครุ่นกังวลอยู่กับความรักความห่วงใยอยู่อย่างนี้ ก็จะไม่รู้จักได้บรรลุมรรคผลแน่นอน เราจะต้องใช้วิธีการเป็นอุบายสักอย่าง ทำให้แม่ตัดความรู้สึกผูกพันกังวลนี้ให้ได้ ท่านก็เลยพูดคำหนึ่งขึ้นมา ซึ่งเป็นคำที่ฟังแล้วไม่น่าสบายใจนัก แต่โดยเจตนาก็ทำเพื่อให้แม่ตัดความรู้สึกผูกพันลงไป จะได้ปฏิบัติธรรมได้
ท่านพระกุมารกัสสปะพูดทำนองว่า "แม่ ทำอะไรอยู่ ความรักแค่นี้ก็ตัดไม่ได้" อะไรทำนองนี้ ก็ทำให้แม่รู้สึกน้อยใจขึ้นมาว่า "ลูกเรานี่นะ เราอุตส่าห์ตามหา ร้องไห้ ห่วงมาไม่รู้กี่ปีแล้ว พอเจอกันก็มาพูดอย่างนี้ ไม่เอาแล้ว เขายังไม่รักเรา เราอย่าไปรักเขาเลย" เป็นทำนองนี้ ทำให้ตัดความรู้สึกห่วงใยผูกพันลดน้อยลงไปได้ ตั้งแต่นั้นก็ตั้งใจปฏิบัติธรรม ต่อมาก็ได้บรรลุอรหัตผล เป็นพระเถรีอรหันต์รูปหนึ่ง เรื่องก็จบลงด้วยดี พระภิกษุณีมารดาก็ได้เป็นพระอรหันต์ พระภิกษุที่เป็นลูกก็ได้เป็นพระอรหันต์ เลยมีเรื่องพระภิกษุณีผู้เป็นอรหันต์ เป็นแม่ของพระภิกษุผู้เป็นอรหันต์ เป็นเรื่องเป็นไปได้ที่ได้เกิดขึ้นแล้ว ดังที่ได้เล่ามานี้
เรื่องนี้ได้เป็นที่ปรารภของพระสงฆ์ในธรรมสภา จนกระทั่งทำให้พระพุทธเจ้าตรัสธรรมอื่นๆ อีก เรื่องหนึ่งที่พระพุทธเจ้าตรัสโดยปรารภเรื่องนี้ ก็คือเรื่องการเกิดขึ้นของป่าอิสิปตนมฤคทายวัน ที่พระโพธิสัตว์เกิดเป็นกวาง คงจำกันได้ที่อาตมภาพเล่าให้ฟัง แล้วก็สละชีวิตตัวเองแทนแม่เนื้อแม่กวางที่กำลังตั้งครรภ์ใหม่ๆ รายนี้แหละ ทำให้เกิดนิยายเกี่ยวกับ ป่าอิสิปตนมฤคทายวัน ขึ้น นั่นก็เรื่องหนึ่ง
อีกเรื่องหนึ่ง ก็คือ เป็นเหตุให้พระพุทธเจ้าตรัสพุทธภาษิตที่ว่า "อตฺตา หิ อตฺตโน นาโถ" ตนแลเป็นที่พึ่งแห่งตน พระพุทธเจ้าทรงแสดงไขเนื้อความอันนี้ว่า แม้แต่เป็นลูกเป็นแม่กัน แต่ในการบรรลุธรรมเบื้องสูง ในการทำจิตใจให้พ้นจากกิเลส ถึงยังไงตนก็เป็นที่พึ่งของตน คนอื่นจะมาช่วยไม่ได้ ลูกก็ช่วยแม่ไม่ได้ แม่ก็ช่วยลูกให้พ้นจากกิเลสไม่ได้ ตนจะต้องทำด้วยตนเอง พระองค์ตรัสภาษิตนี้ เพราะพระภิกษุท่านปรารภเรื่องนี้สนทนากัน เรื่องพระภิกษุณีธิดาเศรษฐีกับพระภิกษุกุมารกัสสปะ พระพุทธเจ้าทรงมาได้ฟังก็เลยทรงแสดงธรรมให้เห็นว่า ตนต้องเป็นที่พึ่งของตนเองในการปฏิบัติธรรมขั้นสุดท้าย ที่จะให้บรรลุมรรคผลหรือจะให้พ้นจากกิเลส พ้นจากความทุกข์โดยสิ้นเชิง
แต่อย่างไรก็ตาม คนเราก็เป็นกัลยาณมิตร ช่วยเหลือกันได้ คือช่วยให้พึ่งตนได้ อย่างในกรณีนี้พระกุมารกัสสปะก็ได้ช่วยมารดาของท่านแล้ว เป็นกัลยาณมิตรให้กับมารดา คือช่วยให้แม่พึ่งตนเองได้ ก็ช่วยเสริมกัน แต่ในขั้นสุดท้ายแม่ต้องพึ่งตนเอง คือ จิตใจจะหลุดพ้นต้องหลุดพ้นเอง นี้ก็เป็นที่มาของพุทธภาษิตที่เรารู้จักกันมาก พุทธศาสนิกชน มักพูดกันเสมอว่า "อตฺตา หิ อตฺตโน นาโถ" ตนแลเป็นที่พึ่งของตน ต้องเข้าใจว่าในขั้นสุดท้ายแล้วเราต้องพึ่งตัวเอง คนอื่นอาจจะช่วยเกื้อกูลเพื่อให้เราพึ่งตนเองได้ ไม่ได้หมายความว่าจะตัดไม่ให้เกี่ยวข้อง ไม่ให้ช่วยเหลือกัน คือมีขอบเขตว่า เรามาช่วยกันและกันให้แต่ละคนพึ่งตนเองได้ แล้วแต่ละคนก็ต้องพึ่งตนเอง
นี้เป็นเรื่องหนึ่ง ที่อาตมภาพนำมาเล่าจะให้เห็นภาพชีวิตที่เกิดขึ้นในสมัยพุทธกาล เกี่ยวข้องทั้งเมืองราชคฤห์และเมืองสาวัตถี แต่สาวัตถีก็ดี ราชคฤห์ก็ดี ในปัจจุบันจะเห็นว่ามีแต่ซาก ป่าก็เหลือน้อย เป็นที่แห้งแล้งเสียมาก สาวัตถียังเป็นที่ชุ่มชื้น มีต้นไม้มากหน่อย แต่ว่าทั้ง ๒ แห่ง ก็เป็นเมืองร้าง จะมีหมู่บ้านอะไรก็เป็นเรื่องของชาวบ้านเล็กๆ น้อยๆ ในชนบทห่างไกล แสดงให้เห็นคติความเปลี่ยนแปลงของสังขารทั้งหลาย ที่ไม่เที่ยงแท้แน่นอนอาณาจักรที่เคยยิ่งใหญ่เป็นมหาอำนาจก็ล่มสลายไป สิ้นสูญไป เมืองใหม่ๆ อาณาจักรใหม่ๆ ก็เกิดขึ้น
แต่เมืองหนึ่งที่เราไปเยี่ยมที่สารนาถ ที่พระพุทธเจ้าแสดงปฐมเทศนา เมืองนั้นคือ เมืองพาราณสี เมืองพาราณสีเดี๋ยวนี้ก็ยังมีความสำคัญอยู่ เพราะยังเป็นดินแดนของศาสนาฮินดู ศาสนาฮินดูยังคงรุ่งเรืองอยู่ และเมืองพาราณสี นั้นตั้งอยู่ที่แม่น้ำคงคา แม่น้ำคงคาเป็นแม่น้ำศักดิ์สิทธิ์ของฮินดู เดี๋ยวนี้ชาวฮินดูก็ยังไปท่าน้ำที่เมืองพาราณสี ไปอาบน้ำชำระบาปกัน เอาศพไปเผาที่นั่น เพื่อจะให้คนตายไปสวรรค์ อย่างที่เราได้ไปดูมาแล้ว
พาราณสีมีความสำคัญ ในทางพระพุทธศาสนาเฉพาะในแง่ของอดีต คืออยู่ในเรื่องชาดก ถ้าหากเป็นสาวัตถีกับราชคฤห์แล้ว มีความสำคัญในครั้งพุทธกาลเอง เรื่องราวจะเกิดขึ้นที่นั่นมาก แต่ถ้าเป็นเรื่องอดีตชาติของพระพุทธเจ้ามักจะเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นที่พาราณสี ชาดกส่วนมากจะขึ้นต้นว่า "อตีเต พาราณสิยํ พฺรหฺมทตฺเต . . " เมื่อพระเจ้าพรหมทัตครองราชสมบัติ อยู่ในเมืองพาราณสี พระโพธิสัตว์อุบัติเป็นนั่นเป็นนี่ อย่างเรื่องกวางโพธิสัตว์จะสละชีวิตให้กับกวางแม่ลูกอ่อน หรือแม่กวางที่กำลังตั้งครรภ์ ก็เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นที่เมืองพาราณสีเช่นเดียวกัน นี่ก็เป็นเรื่องสมัยพุทธกาล
ต่อไป จะข้ามมาหลังพุทธกาล ให้เห็นภาพวิวัฒนาการของพระพุทธศาสนา จะกระทั่งสิ้นสุดไปพอคร่าวๆ
ตอนนี้เรากำลังจะผ่านออกจากพุทธภูมิ คือ ดินแดนช่วงแรกที่เราเดินทางไปนมัสการ ตั้งแต่พุทธคยาไปถึงสาวัตถีก็เป็นอันจบสิ้นไป คราวนี้ก็มาถึงหลังพุทธกาลเมื่อพระพุทธเจ้าปรินิพพานแล้ว พระสาวกก็ได้จัดการสังคายนาครั้งที่ ๑ ขึ้นที่เมืองราชคฤห์ ต่อจากนั้นก็ถือว่าพระสาวกทั้งหลายมีหน้าที่ ในการสืบต่อพระศาสนาทอดกันมาโดยลำดับ
หลังพุทธกาลแล้ว พระพุทธศาสนาได้เจริญรุ่งเรืองขึ้นมาบ้างเสื่อมบ้างเป็นระยะๆ ช่วงแรกที่เจริญสูงสุด ก็คือในสมัย พระเจ้าอโศกมหาราช ที่อาตมภาพกล่าวถึงครั้งหนึ่งแล้ว พระเจ้าอโศกมหาราชครองราชย์ที่เมืองปาตลีบุตร หรือปัตนะที่กล่าวถึงเมื่อกี้นี้ ระหว่าง พ.ศ. ๒๑๘ ถึง พ.ศ. ๒๖๐ เป็นเวลาประมาณ ๔๒ ปี แต่ฝรั่งเขานับไม่เหมือนเรา ฝรั่งเขานับเทียบออกมาได้เป็น พ.ศ. ๒๗๐ ถึง พ.ศ. ๓๑๘ คือเรื่องประวัติพุทธศาสนานี่ นับแบบเรากับนับแบบฝรั่งมันจะต่างกันสัก ๖๐ ปี แทบทั้งหมด แม้แต่พระพุทธเจ้าประสูติและปรินิพพาน ของฝรั่งก็ต่างจากของเรา ๖๐ ปี เพราะของเราคิดตัวเลขปีพุทธปรินิพพาน เราบอกว่าก่อนคริสต์ ๕๔๓ ปี แต่ฝรั่งเขาเอา ๔๘๓ ปี จึงต่างกันอย่างนี้ตลอด
พระเจ้าอโศกครองราชย์ระหว่าง พ.ศ. ๒๑๘ ถึง พ.ศ. ๒๖๐ ได้ทำการสังคายนาครั้งที่ ๓ ส่งพระสาวก ออกประกาศพระศาสนาอย่างที่กล่าวเมื่อกี้ ต่อมาราชวงศ์พระเจ้าอโศกสืบมาอีก ๗ ชั่วพระเจ้าแผ่นดิน คือ มีลูกหลานของพระเจ้าอโศกครองมาอีก ๗ องค์ ก็ถูกอำมาตย์ที่เป็นพราหมณ์จับปลงประชนม์เสีย แล้วตั้งราชวงศ์ใหม่ชื่อ ราชวงศ์ศุงคะ เป็นราชวงศ์ฮินดู ซึ่งเดิมก็เป็นอำมาตย์ของ พระเจ้าแผ่นดินพุทธนั่นเอง
ตอนก่อนนั้นเมื่อพระเจ้าอโศกอุปถัมภ์พุทธศาสนา ก็มีอำมาตย์เป็นพวกพราหมณ์ด้วย แต่พอฮินดูตั้งราชวงศ์ของเขาขึ้น เขาก็ปราบชาวพุทธถึงกับทำพิธีบูชายัญ ดำเนินการปราบปรามชาวพุทธ ถึงกับให้ค่าหัวแก่คนที่ไปฆ่าชาวพุทธมาได้ อะไรทำนองนี้ พุทธศาสนาก็ถูกกำจัดมาก กษัตริย์องค์นี้ชื่อ พระเจ้าปุษยมิตร แต่มีอำนาจไม่กว้างขวางมาก ตอนนั้นในดินแดนที่เคยเป็นแว่นแคว้นของพระเจ้าอโศกได้มีพวกผู้มีอำนาจอื่นๆ ตั้งตัวเป็นกษัตริย์ขึ้นมา แตกเป็นแคว้นเล็กแคว้นน้อย หลายแคว้นก็ดำรงพุทธศาสนาไว้ได้
แคว้นหนึ่งที่ดำรงพุทธศาสนาไว้ด้วยดี คือแคว้นของ พระเจ้ามิลินท์ โยมคงเคยได้ยินชื่อพระเจ้ามิลินท์ ที่ถามปัญหาพระนาคเสน พระเจ้ามิลินท์เป็นกษัตริย์เชื้อชาติกรีก ในภาษากรีกเขาเรียกว่าพระเจ้าเมนันเดอร์ เมนันเดอร์นี้ครองราชย์เมื่อ พ.ศ. ๓๘๘ อยู่ที่เมืองสาคละ ปัจจุบันอยู่ในประเทศปากีสถาน พระเจ้ามิลินท์ครองแผ่นดิน ตั้งแต่แคว้นปัญจาบไปจนถึงประเทศอัฟกานิสถาน ก็ใหญ่พอสมควร เมืองสาคละที่เป็นเมืองหลวงของพระเจ้ามิลินท์ ก็อยู่ใกล้ๆ เมืองศรีนคร ที่เราไปมาแล้วในแคชเมียร์ ขอให้โยมนึกภาพเมืองศรีนครนั้นแหละ ใต้เมืองศรีนครลงไปห่างสัก ๒๓๐ กม. ก็เป็นเมืองสาคละ เมืองหลวงของพระเจ้ามิลินท์ พระเจ้ามิลินท์ก็เป็นผู้ครองดินแดนสำคัญแห่งหนึ่ง ที่ได้เชิดชูดวงประทีปแห่งพระพุทธศาสนาให้คงอยู่ หลังจากสมัยพระเจ้าอโศก
ต่อจากนั้นผ่านมาอีก ๒๐๐ ปีเศษ ก็มีพระเจ้าแผ่นดินยิ่งใหญ่องค์หนึ่ง ที่ได้รวบรวมแคว้นเล็กแคว้นน้อยเข้ามาจัดตั้งเป็นมหาอาณาจักรได้ในราว พ.ศ. ๖๐๐ พระเจ้าแผ่นดินองค์นี้ชื่อ พระเจ้ากนิษกะมหาราช ครองราชย์ราว พ.ศ. ๖๐๐ ตั้งเมืองหลวงอยู่ที่เมืองปุรุษปุระ หรือ ปุรุษบุรี หรือ เปษวาร์ อยู่ในปากีสถานปัจจุบัน อันนี้ขอให้เทียบกับเมืองศรีนครที่เราไปในแคว้นแคชเมียร์ เมืองปุรุษปุระของพระเจ้ากนิษกะอยู่เลยเมืองศรีนครไปทางทิศตะวันตก ประมาณ ๓๐๐ กม.
พระเจ้ากนิษกะมหาราช เป็นผู้อุปถัมภ์พุทธศาสนาแบบที่เรียกว่า สรวาสติวาทิน ซึ่งไม่ใช่เถรวาท และมหายานก็เจริญในดินแดนของพระองค์ ไปกันได้กับนิกายที่ทรงอุปถัมภ์ ทำให้พุทธศาสนาแบบมหายานรุ่งเรืองขึ้นมา ในทางฝ่ายของเราหรือในทางเถรวาท จะไม่ค่อยรู้จักพระเจ้ากนิษกะมหาราชเลย เพราะเราไม่นับเข้าในประวัติศาสตร์หรือในตำนานของเรา
พระเจ้ากนิษกะอุปถัมภ์พุทธศาสนา แบบสรวาสติวาทิน พร้อมทั้งพุทธศาสนาแบบมหายานก็พลอยเจริญไปด้วย ทรงจัดสังคายนาครั้งที่ ๓ ที่ฝ่ายมหายานยอมรับขึ้น เหมือนอย่างที่พระเจ้าอโศกจัดสังคายนา ครั้งที่เราเรียกว่าครั้งที่ ๓ แต่มหายานเขาไปนับเอาของพระเจ้ากนิษกะนี้เป็นครั้งที่ ๓ ทำให้พระพุทธศาสนาเผยแพร่ไปทางจีน ทางมองโกเลีย ธิเบต ไปทางทิศเหนือโน้นมากมาย นี่เป็นเรื่องของพระเจ้าแผ่นดินอีกองค์หนึ่ง ที่ชื่อว่ากนิษกะ ก็ได้สร้างถาวรวัตถุในทางพุทธศาสนาไว้มากเช่นเดียวกัน
หลังพระเจ้ากนิษกะแล้ว อาณาจักรก็ค่อยๆ แตกสลายลงไปอีก จนกระทั่งประมาณ พ.ศ. ๘๖๐ ผ่านพระเจ้ากนิษกะมาศตวรรษเศษ หลังจากชิงอำนาจกันมามากมาย ก็มีราชวงศ์หนึ่งตั้งขึ้น รวบรวมแคว้นน้อยใหญ่เข้ามาเป็นมหาอาณาจักร ได้แก่ ราชวงศ์คุปตะ ราชวงศ์นี่เป็นราชวงศ์ฮินดู ที่ผ่านมาเมื่อกี้กษัตริย์ยิ่งใหญ่เป็นพุทธ ตอนนี้เป็น ฮินดู กษัตริย์คุปตะนี้ แม้จะเป็นฮินดูก็จริง แต่ต้องอาศัยชาวพุทธมาเป็นมหาอำมาตย์ เป็นผู้วางแผนในการปกครอง เป็นต้น เพราะว่าตอนนั้นชาวพุทธเป็นผู้มีการศึกษาดีมาก เพราะฉะนั้น มหาอำมาตย์ส่วนมากหรือแทบทั้งหมดของราชวงศ์คุปตะเป็นพุทธ ตอนปลายๆ นั้นกษัตริย์คุปตะหลายองค์ก็เปลี่ยนมาเป็นพุทธเลย
ราชวงศ์คุปตะครองอำนาจอยู่ตั้งแต่ประมาณ พ.ศ. ๘๖๓ ถึง พ.ศ. ๑๐๐๐ ตอนแรกก็ครองที่ปาตลีบุตรเหมือนกัน ที่เมืองหลวงเดียวกับพระเจ้าอโศก แต่ต่อมาได้ย้ายไปที่เมืองอโยธยาซึ่งอยู่ใกล้เมืองกุสินารา เฉียงไปทางตะวันตกนิดหน่อย คนไทยเราเรียกเมืองหลวงเก่าของเราว่า อยุธยา เลียนศัพท์มาจากของอินเดียนี้เอง อโยธยาเป็นเมืองหลวงของราชวงศ์คุปตะ อยู่ใกล้ๆ กับเมืองกุสินาราที่เราไปมาแล้ว
ราชวงศ์คุปตะแม้จะเป็นฮินดู แต่อาศัยชาวพุทธมาก และในเวลานั้นพุทธศาสนาตั้งมั่นคงแล้ว จนกระทั่งว่าไม่มีใครจะทำอะไรได้ เป็นอันว่าแม้ฮินดูจะมีอำนาจขึ้นพุทธศาสนาก็เจริญมาด้วยกัน และราชวงศ์คุปตะก็ให้การอุปถัมภ์พุทธศาสนาไปด้วย เช่นว่า มหาวิทยาลัยนาลันทา ตอนนั้นรุ่งเรืองอยู่แล้ว พระเจ้าแผ่นดินคุปตะก็ได้เป็นผู้อุปถัมภ์มหาวิทยาลัยนาลันทาแทบทุกพระองค์ จนกระทั่งถึง พ.ศ. ๑๐๐๐ ราชวงศ์คุปตะก็สิ้นสุดลง เหตุที่สิ้นสุดก็เพราะมีต่างชาติรุกราน ต่างชาตินี้คือชนชาติฮั่น
ชนชาติฮั่นบุกเข้ามาทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือ ของอินเดีย พอบุกเข้ามาก็ทำลายหมด ทำลายทุกอย่าง โดยเฉพาะได้ทำลายพุทธศาสนามาก ต้นทางที่เริ่มเข้ามาก็คือ ตักสิลา ตักสิลาปัจจุบันนี้อยู่ในปากีสถาน ตักสิลาเคยรุ่งเรืองมาก เราได้ยินจากในคัมภีร์พุทธศาสนาว่าเป็นดินแดน ทิศาปาโมกข์ พอหลังพุทธกาลไม่นานก็เป็นที่ตั้งมหาวิทยาลัยพุทธศาสนา มีวัดวาอารามมากมาย พอพวกฮั่นบุกเข้ามา ก็ทำลายตักสิลาราบไปเลย เผาผลาญหมด พวกฮั่นบุกเข้ามาระยะ พ.ศ. ๑๐๔๓-๑๐๙๓ ก็ทำให้อินเดียหวั่นไหวแตกเป็นอาณาจักรเล็กๆ น้อยๆ มากมาย แต่ว่าตอนนั้นอินเดียยังพอต้านศัตรูไว้ได้ เข้ามาไม่ได้ลึกมาก ผลที่สุดฮั่นก็ต้องออกไป แต่ว่าได้ทำลายพุทธศาสนาย่อยยับไปมากทีเดียว
พอต้านพวกฮั่นได้แล้ว พวกกษัตริย์ในอินเดียก็พยายามจะชิงอำนาจกันเอง จนกระทั่งมีพระเจ้าแผ่นดินองค์หนึ่งรวบรวมแว่นแคว้นได้มากหน่อยชื่อ พระเจ้าหรรษวรรธนะ พระเจ้าหรรษวรรธนะเป็นกษัตริย์ชาวพุทธ แต่พุทธศาสนาที่เจริญรุ่งเรืองในยุคนั้น เป็นมหายานส่วนมากแล้ว เพราะฉะนั้น พระเจ้าหรรษวรรธนะที่ว่าเป็นชาวพุทธและได้อุปถัมภ์พุทธศาสนาอย่างยิ่งใหญ่ ก็กลายเป็นอุปถัมภ์พุทธศาสนาฝ่ายมหายาน ครองราชย์ประมาณ พ.ศ. ๑๑๕๐-๑๑๙๐ เมืองหลวงตั้งอยู่ที่เมืองกระโนช เทียบปัจจุบันอยู่ระหว่างทางเมืองลักเนาไปเมืองอัครา
พระเจ้าหรรษวรรธนะได้ฟื้นฟูอินเดียขึ้นมา หลังจากยุคที่พวกฮั่นบุก เป็นพระเจ้าแผ่นดินพุทธก็ได้อุปถัมภ์พุทธศาสนามากและไม่เบียดเบียนศาสนาอื่นๆ แต่ตอนปลายรัชกาลก็ปรากฏว่าถูกปลงพระชนม์ อำมาตย์พวกฮินดูพวกพราหมณ์จัดการลอบปลงพระชนม์ ครั้งแรกไม่สำเร็จ พระเจ้าหรรษวรรธนะก็ใจดี เธอปลงพระชนม์ฉันไม่สำเร็จ มันเป็นยังไง ไม่พอใจอะไรก็ว่ากันดีๆ ก็ยกโทษให้ พอยกโทษให้พวกนี้ก็เลยสมคบกันใหม่ คราวที่ ๒ ปลงพระชนม์สำเร็จ พระเจ้าหรรษวรรธนะก็สิ้น พวกฮินดูจึงรุ่งเรืองขึ้นมาอีก
เหตุการณ์ผ่านมา อินเดียก็แตกเป็นแคว้นเล็กแคว้นน้อยอีก แย่งชิงอำนาจกันมากมาย แต่ไม่มีใครที่มีอำนาจยิ่งใหญ่จริงๆ ในตอนนี้ก็มีราชวงศ์หนึ่งอยู่ทางตะวันออกแถวๆ แคว้นมคธที่พอจะรวบรวมแคว้นใหญ่ขึ้นมาคือ ราชวงศ์ปาละ เช่น พระเจ้าธรรมบาล ยุคนี้ตกในราว พ.ศ. ๑๓๐๐-๑๖๘๕ พูดง่ายๆ ตีเสียว่า ๑๓๐๐-๑๗๐๐ พระเจ้าแผ่นดินก็ครองราชย์ที่เมืองปาตลีบุตร และเป็นราชวงศ์พุทธ ได้อุปถัมภ์พระพุทธศาสนา อุดหนุนมหาวิทยาลัยพุทธศาสนาทั้งแห่งเก่าที่นาลันทา และที่ตั้งใหม่ มีมหาวิทยาลัยโอทันตปุระ วิกรมศิลา เป็นต้น อีกหลายแห่ง พุทธศาสนาก็รุ่งเรืองมาได้อีก แม้ว่าจะเป็นพุทธศาสนาแบบกลายๆ คือ มหายานผสมฮินดู
ลืมเล่าไปนิดหนึ่ง ตอนยุคพระเจ้าหรรษวรรธนะ มีพระภิกษุที่มีชื่อเสียงมากรูปหนึ่ง เดินทางเข้าไปในประเทศอินเดีย แล้วเล่าเรื่องการเดินทางสืบพระศาสนาในอินเดียเอาไว้ด้วย คือ พระถังซำจั๋ง ในเรื่องไซอิ๋ว หลายท่านรู้จักดี พระถังซำจั๋งเดินทางเข้ามา ในสมัยพระเจ้าหรรษวรรธนะ ประมาณ พ.ศ. ๑๑๕๐-๑๑๙๐ แล้วก็เล่าเรื่องราวไว้มากมาย ขนเอาพระไตรปิฎกจากไซที หรือประเทศตะวันตกของจีนคืออินเดียนั่นเอง นำเอาพระไตรปิฎกหรือคัมภีร์พระพุทธศาสนากลับไปเมืองเชียงอาน แล้วไปแปลออกเป็นภาษาจีน พระถังซำจั๋งเป็นปราชญ์แห่งราชวงศ์ถัง เป็นผู้มีชื่อเสียงมาก ทางประวัติศาสตร์เรียกหลวงจีนเหี้ยนจัง ท่านเรียนที่มหาวิทยาลัยนาลันทาด้วย และได้เขียนเล่าเรื่องเกี่ยวกับนาลันทาไว้มากมาย
เมื่อสิ้นสุดยุคพระเจ้าหรรษวรรธนะนั้น มาจนถึงราชวงศ์ปาละ เพราะเหตุที่อินเดียแตกแยกเป็นแคว้นเล็กแคว้นน้อยมากมาย ก็จึงชิงอำนาจกันเองเกิดความอ่อนแอ พอดีตอนนี้มุสลิมก็บุกเข้ามา มุสลิมบุกเข้ามาเรื่อยๆ ตั้งแต่ พ.ศ. ๑๕๐๐ เข้าทางตะวันตกเฉียงเหนือ ตีเข้ามาได้ทีละน้อยๆ จนกระทั่งถึง พ.ศ. ๑๗๐๐ ก็ตีได้ถึงแคว้นมคธ หรือแคว้นพิหารในปัจจุบัน ตอนที่มุสลิมเข้าตีมคธคราวนี้ ราชวงศ์ปาละสิ้นสุดไปแล้ว เพิ่งสิ้นสุดไปใหม่ๆ มีราชวงศ์ใหม่ชื่อ ราชวงศ์เสนะ ราชวงศ์เสนะก็ถูกมุสลิมทำลาย ทหารมุสลิมทำลายล้างเรียบ ไม่มีเหลือ ถ้าเป็นวัดก็เป็นอันว่าเผาหมด พระส่วนมากก็ถูกฆ่า หรือไม่ก็หนีไป
ตอนนั้นนักประวัติศาสตร์ของพวกมุสลิมเอง ก็เขียนเล่าไว้ด้วยความภูมิใจว่า เขาไปไหนเขาก็ได้ทรัพย์สมบัติมากมาย และเขาก็เอาดาบไปฆ่าผู้คน เมื่อปราบเสร็จแล้วเขาก็ให้เลือกเอาระหว่างดาบกับพระอัลเลาะห์ จะเอาอะไร ถ้าเอาอัลเลาะห์ก็อยู่ ถ้าไม่เอาอัลเลาะห์ก็ดาบ คือถูกฆ่า เพราะฉะนั้น ผลที่สุดพุทธศาสนาก็สูญสิ้นจากอินเดียตั้งแต่ พ.ศ. ๑๗๐๐ เป็นต้นมา นี่ก็คือประวัติศาสตร์พุทธศาสนาโดยย่อ
อาตมภาพเล่าให้เห็นภาพคร่าวๆ โยมอาจจะยังเห็นไม่ชัดนัก แต่คงพอทราบว่าเป็นมาอย่างไร พุทธศาสนาในตอนหลังๆ แผ่ไปทั่วอินเดียหมดแล้ว พอถึงพระเจ้าอโศกก็แผ่ไปหมด พระเจ้าอโศกครองแผ่นดินที่กว้างขวางเป็นมหาอาณาจักร หลังพระเจ้าอโศกไม่นานก็เกิดถ้ำอย่าง อชันตา ขึ้นมา อชันตาก็เกิดระหว่าง พ.ศ. ๔๐๐-๑๒๐๐ เป็นถ้ำของพุทธศาสนาล้วนๆ เป็นถ้ำของฝ่ายเถรวาทอยู่ ๕ ถ้ำ นอกนั้นเป็นมหายาน และที่อีกภูเขาหนึ่งคือ เอลโลร่า หรือภาษาอินเดียเขาเรียกว่า เอลลูร่า ก็สร้างระหว่าง พ.ศ. ๑๑๐๐-๑๓๐๐ ยุคที่มีถ้ำพุทธศาสนาคือ ๑๑๐๐-๑๓๐๐ ยุคถ้ำฮินดูราว ๑๑๕๐-๑๔๕๐ ยุคถ้ำของเชนราว ๑๓๕๐-๑๕๕๐ หลังจากนั้นก็หมด คงถึงยุคหนีสงครามถูกมุสลิมบุก
ส่วนมหาวิทยาลัยนาลันทา ก็เป็นสถาบันการศึกษาที่ยิ่งใหญ่ เริ่มขึ้นมาเมื่อประมาณ พ.ศ. ๘๕๐ รุ่งเรืองในสมัยราชวงศ์คุปตะ จนกระทั่งพุทธศาสนาสิ้นสูญจากอินเดียเมื่อ พ.ศ. ๑๗๐๐ ก็ถูกเผาราบเรียบไป รวมแล้วรุ่งเรืองอยู่นานเกือบ ๑,๐๐๐ ปี
เมื่อมุสลิมได้เข้ามาครอบครองประเทศอินเดียแล้วก็มีราชวงศ์มุสลิมหลายราชวงศ์เหมือนกัน แต่ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดคือ ราชวงศ์โมกุล ซึ่งครองอำนาจกันมาตลอด พ.ศ. ๑๗๐๐-๒๒๕๐ พอถึงประมาณ พ.ศ. ๒๒๐๐ เศษ อังกฤษ พวกนักล่าอาณานิคมจากตะวันตก ก็เข้ามาแย่งชิงดินแดนในอินเดีย ผลที่สุดอังกฤษรบชนะกษัตริย์มุสลิม ครอบครองอินเดียตั้งแต่ พ.ศ. ๒๒๕๐ มาจนถึงอินเดียได้รับเอกราชเมื่อ พ.ศ. ๒๔๙๐ ตั้งแต่นั้นมาก็ถึงยุคอินเดียสมัยปัจจุบัน นี่เป็นประวัติศาสตร์อินเดียโดยย่อ
เป็นอันว่าพุทธศาสนาก็ได้สิ้นสูญไปแล้ว เหลือแต่ศาสนาอิสลามสู้กับฮินดูสืบมา แต่ทั้งหมดก็พ่ายแพ้แก่อังกฤษ แล้วท้ายที่สุดอังกฤษก็เลิกราไปอีกทีหนึ่ง เราได้เห็นความเป็นไปในประวัติศาสตร์ตลอดเวลาเป็นพันๆ ปี มีราชวงศ์เล็กๆ น้อยๆ เกิดขึ้นมามากมาย แล้วก็แย่งชิงอำนาจกันล้มหายไป มีมหาอาณาจักรใหญ่ๆ เกิดขึ้นมา แล้วมหาอาณาจักรน้อยใหญ่เหล่านี้ ก็สิ้นสูญไปตามกาลเวลาบ้าง โดยการทำลายบ้าง มีอาณาจักรเล็กๆ เกิดขึ้นกระจายไป แล้วก็รวมกันได้อีก แล้วแตกสลายไปอีก หมุนเวียนเปลี่ยนไป เป็นคติธรรมดา ความเปลี่ยนแปลงที่เป็นอนิจจังนี้ ถ้าหากพิจารณาในแง่ของธรรมะคือ ไตรลักษณ์ ก็เป็นเรื่องที่ควรแก่การสังเวชใจด้วย
เป็นอันว่า ดินแดนทั้งหมดที่เราได้ไปดูมา ล้วนมีความเกี่ยวข้องสัมพันธ์กับพุทธศาสนาทั้งนั้น เราจะเห็นหรือไม่เห็นก็ตาม อย่างที่อาตมภาพได้บอกไว้ว่าส่วนนอกเหนือจากพุทธภูมิมาแล้ว คือเลยจากสาวัตถีออกมาเป็นถิ่นที่เกี่ยวข้องกับพุทธศาสนาหลังพุทธกาล อชันตา เอลโลร่าก็เกี่ยวชัด เดลีก็เกี่ยว เพราะที่นั่นเป็นเมืองอินทปัตถ์ อยู่ในแคว้นกุรุ พระพุทธเจ้าเคยแสดงมหาสติปัฏฐานสูตรที่นั้น แม้แต่ที่แคชเมียร์ หรือกัษมีระ ซึ่งเราไปที่เมืองศรีนคร ที่นั่นพุทธศาสนาก็เคยแพร่หลายอยู่ ประชาชนแถวนั้นก็เคยนับถือพุทธศาสนา แต่ปัจจุบันเป็นมุสลิมไปเกือบทั้งหมดแล้ว
พุทธศาสนาเคยรุ่งเรืองที่นั่น เช่น เมืองสาคละของพระเจ้ามิลินท์ก็อยู่ห่างจากที่นั่นประมาณ ๒๐๐ กว่ากิโลเมตร หรือเมืองปุรุษปุระของพระเจ้ากนิษกะก็อยู่ห่างจากนั่น สัก ๓๐๐ กม. ดินแดนแถวๆ นั้น ล้วนเคยเป็นถิ่นของพระพุทธศาสนา จนกระทั่งถึงอัฟกานิสถาน และปากีสถานทั้งหมดก็เคยเป็นประเทศพุทธศาสนามาก่อน แต่ปัจจุบันนี้พุทธศาสนาแทบไม่มีเหลืออยู่เลย ที่กัษมีระเราได้เลยเข้าไปนิดหนึ่งในแดนหิมพานต์
หิมพานต์นั้น ก็เป็นดินแดนที่มีเรื่องราวในพุทธศาสนามาก เช่น เมื่อคราวที่พวกเจ้าศากยะ จะไปรบไปฆ่ากันระหว่างพี่น้อง ในสงครามใหญ่ระหว่าง โกลิยะ กับ ศากยะ เมื่อพระพุทธเจ้าไปห้ามทัพเสร็จ เจ้าชายที่จะไปรบก็เปลี่ยนเป็นบวช ก็ได้บวชกันจำนวนมากมาย พระพุทธเจ้าก็พาพระใหม่เหล่านั้น ไปเที่ยวแดนหิมพานต์กันพักใหญ่ เรื่องราวในชาดกก็เยอะแยะ ที่เกี่ยวกับเรื่องแดนหิมพานต์
ในคัมภีร์อรรถกถาท่านพูดถึงแดนหิมพานต์ไว้ว่า มีภูเขาเป็นเทือกใหญ่ๆ ทั้งหมด ๗ เทือก ล้อมภูเขาคันธมาทน์ มีเนื้อที่สามแสนโยชน์ มียอดทั้งหมด ๘๔,๐๐๐ ยอด มีทะเลสาบใหญ่ที่ไม่เคยร้อนด้วยแสงแดดเลย ๗ ทะเลสาบ ปัจจุบันนี้ก็ขอให้ดูแผนที่เอาเองว่า หิมพานต์นั้นกว้างใหญ่ขนาดไหน อาตมภาพเองก็ยังไม่ได้ดูว่าเขาบอกไว้ว่ามีเนื้อที่กี่ล้านเอเคอร์ หรือกี่ล้านไร่ อันนี้เราไปมาแล้ว โยมก็พูดได้ว่าได้เข้าไปในดินแดนหิมพานต์แล้วนิดหน่อย
ข้อที่ควรจะกล่าวในที่นี้สักหน่อย เป็นคติในทางธรรม ก็คือ เรื่องพระพุทธศาสนาสูญสิ้นไปจากอินเดีย ควรกล่าวถึง เหตุทั้งหลายที่ให้พุทธศาสนาต้องสูญสิ้นไปจากประเทศอินเดีย ซึ่งเป็นเหตุการณ์ที่ชัดเจนเมื่อ พ.ศ. ๑๗๐๐
๑. เหตุอันแรกที่เราเห็นได้ พูดง่ายๆ ว่า ชาวพุทธเราใจกว้าง แต่ศาสนาอื่นเขาไม่ใจกว้างด้วย นี่ก็เป็นเหตุสำคัญที่ทำให้พระพุทธศาสนาสูญสิ้นไป เพราะว่าเมื่อพระพุทธศาสนาเกิดขึ้นนั้น ก็สอนแต่เพียงหลักธรรมเป็นกลางๆ ให้คนประพฤติดี ทำความดี จะนับถือหรือไม่นับถือก็ไม่ได้ว่าอะไร ถ้าเป็นคนดีแล้วก็ไปสู่คติที่ดีหมด ไม่ได้จำกัดว่าต้องเป็นชาวพุทธจึงจะไปสวรรค์ได้ หรือว่าชาวพุทธที่มานับถือแล้วทำตัวไม่ดีก็ไปนรกเหมือนกัน อะไรทำนองนี้
เมื่อชาวพุทธได้เป็นใหญ่ เช่น อย่างพระเจ้าอโศกมหาราช ครองแผ่นดินก็อุปถัมภ์ทุกศาสนาเหมือนกันหมด แต่ผู้ที่ได้รับอุปถัมภ์เขาไม่ได้ใจกว้างตามด้วย เพราะฉะนั้นพวกอำมาตย์พราหมณ์ของราชวงศ์อโศกเอง ก็เป็นผู้กำจัดราชวงศ์อโศก จะเห็นว่าอำมาตย์ที่ชื่อ ปุษยมิตร ก็ได้ปลงพระชนม์พระเจ้าแผ่นดิน ที่เป็นหลานของพระเจ้าอโศก แล้วตั้งราชวงศ์ใหม่ที่กำจัดชาวพุทธ อย่างที่เล่าเมื่อกี้ แต่ก็กำจัดไม่เสร็จสิ้น มีมาเรื่อย จนกระทั่งถึงพระเจ้าหรรษวรรธนะครองราชย์ อำมาตย์ที่เป็นฮินดูก็กำจัดพระองค์เสียอีก ก็เป็นมาอย่างนี้ จนในที่สุดมุสลิมก็เข้ามาบุกกำจัดเรียบไปเลยเมื่อ พ.ศ. ๑๗๐๐ นี้ก็เป็นเหตุอันหนึ่งที่เห็นได้ง่าย
ยังมีเหตุอื่นอีก ชาวพุทธเองก็เป็นเหตุด้วย อย่าไปว่าแต่คนอื่นเขา
ในด้านหนึ่ง ความใจกว้างของชาวพุทธนั้น บางทีก็กว้างเลยเถิดไป จนกลายเป็นใจกว้างลืมหลักหรือใจกว้างอย่างไม่มีหลัก ไม่ยืนหลักของตัวไว้ กว้างไปกว้างมาเลยกลายเป็นกลมกลืนกับเขา จนศาสนาของตัวเองหายไปเลย ที่หายไปให้เห็นอย่างชัดเจนก็คือ ไปกลมกลืนกับศาสนาฮินดู ตอนที่มุสลิมยังไม่เข้ามา ศาสนาพุทธเราก็อ่อนมากแล้วเพราะไปกลมกลืนกับศาสนาฮินดูมาก ปล่อยให้ความเชื่อถือของฮินดูเข้ามาปะปน
อย่างในถ้ำอชันตานั้น เป็นที่แสดงประวัติพุทธศาสนาได้อย่างดี จะเห็นได้ตั้งแต่เจริญจนถึงเสื่อม ตอนต้นจะเห็นว่าเดิมก็บริสุทธิ์ดีเป็นพุทธศาสนาเถรวาท ต่อมาก็กลายเป็นมหายาน มีคติความเชื่อของทางฮินดูเข้ามาปะปนมากขึ้น ผลที่สุดพุทธหมด จะเห็นได้ที่เอลโลร่า ผลที่สุดเหลือแต่ถ้ำฮินดู ถ้ำพุทธถูกกลืนหมด เพราะฉะนั้นก็เป็นคติสอนใจอันหนึ่งที่ว่าใจกว้างจนลืมหลัก ไม่ยืนรักษาหลักของตัวเองไว้ กลมกลืนจนกระทั่งตัวเองสูญหายไป
ในความใจกว้างและกลมกลืนนั้น มีเรื่องหนึ่งที่น่าจะกล่าวไว้คือ ลักษณะการกลมกลืนกับศาสนาฮินดู ศาสนาฮินดูนั้นมีลักษณะสำคัญคือ การเชื่อเรื่องฤทธิ์ เรื่องปาฏิหาริย์ เรื่องการดลบันดาลของเทพเจ้า ตอนที่คณะเดินทางโยมจะได้ยิน ท่านพระครูทวีเล่าถึงนิทานของฮินดูมากมาย มีแต่เรื่องเทพเจ้าองค์นั้นมีฤทธิ์อย่างนั้น ดลบันดาลอย่างนั้น สาปกันอย่างนั้น เอาฤทธิ์มาใช้ทำลายกันต่างๆ โดยมากเป็นเรื่องของโลภะ โทสะ โมหะ พุทธศาสนาในยุคหลังก็ทำให้คนไปหวังพึ่งเรื่องฤทธิ์ เรื่องเทพเจ้าอะไรต่ออะไรมากขึ้น จนลืมหลักของตัวเอง
๒. ในทางพุทธศาสนานั้นจะเห็นว่าพระพุทธเจ้าก็มีฤทธิ์เหมือนกัน เป็นปาฏิหาริย์อย่างหนึ่งในบรรดาปาฏิหาริย์ ๓ แต่ต้องยืนหลักไว้เสมอว่า ปาฏิหาริย์ที่สำคัญที่สุด คือ อนุศาสนีปาฏิหาริย์ ปาฏิหาริย์ที่เป็นหลักคำสอน ไม่ใช่ปาฏิหาริย์ที่เป็นการแสดงฤทธิ์ต่างๆ ในทางพุทธศาสนาให้ถือการกระทำของเราเป็นหลัก ส่วนฤทธิ์หรือเทพเจ้านั้นจะมาเป็นตัวประกอบหรือช่วยเสริมการกระทำของเรา จะต้องเอาการกระทำของตัวเองเป็นหลักเสียก่อน ถ้าหากว่าเราไม่เอาการกระทำหรือกรรมเป็นหลัก เราก็จะไปหวังพึ่งการดลบันดาลของเทพเจ้า หวังพึ่งฤทธิ์ของผู้อื่นมาทำให้ไม่ต้องกระทำด้วยตนเอง ก็งอมืองอเท้า มันก็มีแต่ความเสื่อมไป
จุดที่เสื่อมก็คือตอนที่ ชาวพุทธลืมหลักกรรม ไม่เอาการกระทำของตัวเองเป็นหลัก ไปหวังพึ่งเทพเจ้า ไปหวังพึ่งฤทธิ์ พึ่งปาฏิหาริย์ ตราบใดที่เรายืนหลักได้ คือเอากรรม เอาการกระทำเป็นหลัก แล้วถ้าจะไปนับถือฤทธิ์ปาฏิหาริย์บ้าง ฤทธิ์ปาฏิหาริย์นั้นก็มาประกอบมาเสริมการกระทำก็ยังพอยอม แต่ถ้าใครใจแข็งพอก็ไม่ต้องพึ่งฤทธิ์ ไม่ต้องพึ่งปาฏิหาริย์อะไรทั้งสิ้น เพราะพุทธศาสนานั้นถ้าเราเอากรรมหรือการกระทำเป็นหลักแล้ว ก็จะยืนหยัดอยู่ได้เสมอ ยกตัวอย่างเรื่อง อนาถบิณฑิกเศรษฐี ซึ่งเป็นชาวพุทธในสมัยพุทธกาล
อนาถบิณฑิกเศรษฐี นั้น ที่บ้านหรือที่ปราสาทของท่าน ก็มีเทวดามาอยู่ เทวดานี้มีความลำบากมาก เพราะพระพุทธเจ้ากับพระสงฆ์เสด็จมาที่บ้าน ของท่านเศรษฐีบ่อยๆ ด้วยความเคารพพระสงฆ์เทวดาก็ต้องฝืนใจลงมาจากซุ้มประตูบ้าน ลงมาข้างล่าง เขาจึงมีความรู้สึกเดือดร้อนรำคาญใจ ก็เลยมายุแหย่อนาถบิณฑิกเศรษฐีว่า ท่านก็จนลงทุกวัน เพราะถวายทานแก่พระพุทธเจ้าและพระสงฆ์ อย่าเลย อย่าทำลายทรัพย์สมบัติเลย เลิกนับถือพระพุทธเจ้าเถอะ เลิกถวายทาน เทวดานี้มาสอนให้ทำไม่ดี เทวดาก็มีทั้งเทวดาดีและเทวดาไม่ดี
ทีนี้ อนาถบิณฑิกเศรษฐีนั้นเป็นผู้มั่นในพระรัตนตรัยแล้ว มั่นในคุณธรรม ไม่เอาด้วย บอกเทวดาว่า ท่านเป็นใครกัน เรื่องอะไรมาชวนข้าพเจ้าในเรื่องไม่เข้าท่าเข้าทาง เทวดาก็บอกว่าข้าพเจ้าอยู่ที่ซุ้มประตูบ้านท่านนี่แหละ มีความหวังดีต่อท่าน อยากให้ท่านร่ำรวย ไม่ยากจนเพราะการสละทรัพย์สมบัติ เศรษฐีก็บอกว่า ต่อแต่นี้ไปท่านอย่าอยู่ที่นี่เลยนะ ไปอยู่ที่อื่นดีกว่า อยู่ที่นี่คงไม่ดีเพราะความเห็นไม่ตรงกัน ท่านไม่ตั้งอยู่ในธรรม มาชักชวนในทางไม่ถูกต้อง
เทวดาก็เดือดร้อนเพราะเจ้าของบ้านไล่ เลยต้องไปหาเทวดาผู้ใหญ่ให้มาอ้อนวอนอนาถบิณฑิกเศรษฐี เที่ยวได้ไปหาเทพเจ้าใหญ่ๆ จนถึงพระอินทร์ ให้มาช่วยอ้อนวอนเศรษฐีขอให้อนุญาตให้กลับเข้าบ้านได้ตามเดิม ผลที่สุดพระอินทร์ก็บอกว่า พระอินทร์เองก็ช่วยไม่ได้ มันอยู่ที่ตัวเศรษฐีเขาจะยอมไม่ยอม แต่เอาละลองหาอุบายไปให้เขายอมดูซิ พระอินทร์ก็ได้แต่แนะนำอุบายให้ บอกว่านี่ลองไปหาดูซิที่ไหนมีขุมทรัพย์ดีๆ ไปบอกเศรษฐี
เทวดาไปเจอขุมทรัพย์แห่งหนึ่ง ก็เลยเอามาบอกเศรษฐีว่า ท่านเศรษฐีครับ ที่นั่นมีขุมทรัพย์ใหญ่อยู่ ท่านมีทางที่จะได้ทรัพย์สมบัติมาทำบุญอีกเยอะ เศรษฐีบอกว่า เทวดาแนะนำอย่างนี้ พอใช้ได้ ก็เลยอนุญาตให้อยู่บ้านได้ต่อไป หมายความว่า เทวดากับมนุษย์นั้นอยู่ในระดับใกล้กัน ใครจะต้องยอมใคร ก็อยู่ที่ว่าใครมีคุณธรรมสูงกว่า ถ้าใครมั่นในคุณธรรมมากกว่า อีกฝ่ายหนึ่งก็ต้องยอม เพราะฉะนั้น พระพุทธเจ้าจึงสอนให้คนเรามั่นใจในกรรม มั่นใจในการกระทำความดีของตนเอง แล้วเทวดาก็ต้องยอมเรา
มีเรื่องในชาดกว่า เทวดาทำนายแล้วมนุษย์ก็ยังฝืนได้ แม้แต่พระอินทร์ทำนาย โดยฤๅษีเป็นสื่อให้บอกพระเจ้าแผ่นดิน ๒ ฝ่ายที่จะรบกัน ฝ่ายนี้จะชนะ ฝ่ายนั้นจะแพ้ ฝ่ายที่ได้รับคำทำนายจากพระอินทร์ว่าจะชนะ ก็ประมาทมัวเมา สนุกสนาน ฝ่ายที่ได้รับคำทำนายว่าแพ้ เกิดหัวหน้าคือมหากษัตริย์เป็นคนไม่ประมาท มีจิตใจเข้มแข็งเตรียมการต่อสู้เต็มที่ เหตุการณ์ก็กลายเป็นว่าฝ่ายที่ได้รับคำทำนายว่าแพ้กลับเป็นฝ่ายชนะ ฝ่ายที่ว่าจะชนะกลับเป็นฝ่ายแพ้ อย่างนี้ก็มี ฝ่ายที่แพ้ก็ไปด่าพระฤๅษีบอกว่า ฤๅษีโกหก ฤๅษีก็น้อยใจไปต่อว่าพระอินทร์ว่า ทำไมท่านแกล้งข้าพเจ้า พระอินทร์บอกว่าไม่ได้แกล้ง แล้วก็กล่าวคติออกมาว่า "ความเพียรพยายามของมนุษย์นั้น เทวดาก็เกียดกันไม่ได้"
เพราะฉะนั้น ในทางพุทธศาสนาถือการกระทำหรือกรรมเป็นสำคัญ เทวดาจะต้องมาเสริมมาช่วยการกระทำที่ดีของเรา ฤทธิ์จะต้องมาประกอบการกระทำ เอาการกระทำ เอาความเพียรพยายามหรือเอาการกระทำที่ดีเป็นหลัก ไม่ใช่ว่าละเลยการกระทำ ปล่อยทิ้งกรรม แล้วไปมัวหวังพึ่งอำนาจพึ่งฤทธิ์ รอการดลบันดาลของเทพเจ้าต่างๆ ถ้าเสียหลักนี้เมื่อไร พุทธศาสนาก็เสื่อม นี้ก็เป็นตัวอย่างอันหนึ่ง แสดงให้เห็นว่า เมื่อจับหลักของตัวไม่ถูก เสียหลักแล้ว ก็กลายเป็นการกลมกลืนกับฮินดู กลมกลืนไปมาผลที่สุดตัวเองก็หายไปหมดเลย กลายเป็นเชื่อเทวดาโน่นนี่มาดลบันดาลต่างๆ โดยไม่ต้องทำ ไม่ต้องเพียรพยายาม
๓. อีกอย่างหนึ่งที่ควรระวัง คือ พอมีภัยหรือเรื่องกระทบกระเทือนส่วนรวม ชาวพุทธไม่น้อยมีลักษณะที่วางเฉย ไม่เอาเรื่อง แล้วเห็นลักษณะนี้เป็นดีไป เห็นว่าใครไม่เอาเรื่องเอาราว มีอะไรเกิดขึ้นก็เฉยๆ ไม่เอาเรื่องกลายเป็นดี ไม่มีกิเลส เห็นอย่างนี้ไปก็มี ในทางตรงข้ามถ้าไปยุ่งก็แสดงว่ามีกิเลส อันนี้อาจจะพลาดจากคติพุทธศาสนาไปเสียแล้ว และจะกลายเป็นเหยื่อเขา ในทางพุทธศาสนานั้น ผู้ไม่มีกิเลส ท่านยุ่งกับเรื่องที่กระทบกระเทือนกิจการส่วนรวม แต่การยุ่งของท่านมีลักษณะที่ไม่เป็นไปด้วยกิเลส คือ ทำด้วยใจที่บริสุทธิ์ ซึ่งพระพุทธเจ้าก็ได้ทำเป็นคติไว้แล้ว ตั้งแต่สมัยพุทธกาล
อาตมภาพขอยกตัวอย่าง เรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อพระพุทธเจ้าดำรงพระชนม์อยู่เอง สมัยหนึ่งพระพุทธเจ้าตรัสไล่พระภิกษุกลุ่มหนึ่งที่ทำเสียงอึกทึก แล้วได้ปรารภกับพระสารีบุตร และพระโมคคัลลาน์ว่า นี่แน่ะสารีบุตรและโมคคัลลาน์ เธอเห็นอย่างไร เมื่อเราไล่พระสงฆ์กลุ่มนั้น พระสารีบุตรก็กราบทูลว่า ต่อไปนี้พระองค์จะเป็นผู้ขวนขวายน้อย นี่เป็นศัพท์ทางพระ หมายความว่า จะทรงเลิกยุ่งเกี่ยวกับกิจการส่วนรวม การปกครองคณะสงฆ์จะไม่เอาแล้ววางมือเสียที ถ้าพระองค์จักเป็นผู้ขวนขวายน้อย ข้าพระองค์ทั้งสองสารีบุตรและโมคคัลลาน์ก็จักเป็นผู้ขวนขวายน้อยด้วย พระพุทธเจ้าก็ตรัสห้ามไม่ให้คิดอย่างนั้น แล้วก็ตรัสถามพระโมคคัลลาน์ต่อไปว่า เธอ . . . โมคคัลลาน์จะเห็นอย่างไร พระโมคคัลลาน์ก็ได้กราบทูลว่า ถ้าพระองค์ผู้เป็นธรรมสามี หมายความว่าเป็นเจ้าของธรรม เป็นหัวหน้าผู้ประดิษฐานธรรมะ เป็นประมุขของพระศาสนาจะมีความขวนขวายน้อย วางมือจากการปกครองคณะสงฆ์แล้ว ไม่เอาธุระแล้ว ข้าพระองค์ทั้งสองโมคคัลลาน์และสารีบุตร จะทำหน้าที่นั้นต่อไป พระพุทธเจ้าก็อนุโมทนาว่า ดีแล้ว . . . โมคคัลลาน์ ควรจะเป็นเช่นนั้น2 นี่ก็เป็นคติให้เห็น พระอรหันต์ เป็นตัวอย่างของผู้ที่จะต้องเอาใจใส่กิจการของส่วนรวม ไม่ใช่ไม่ยุ่งไม่เกี่ยว
มีคติรายอื่นเป็นตัวอย่างต่อมาอีกเรื่อยๆ เช่น พระมหากัสสปะ แม้จะเป็นพระอรหันต์ฝ่ายป่า ท่านอยู่ป่าเรื่อย ออกไปธุดงค์ เป็นเอตทัคคะทางธุดงค์ ดูคล้ายๆ กับไม่ยุ่งเกี่ยวกับใคร แต่ที่จริงถ้าเป็นกิจการส่วนรวม ท่านต้องยุ่งต้องเอาใจใส่ เราจะเห็นว่า เมื่อคราวที่พระพุทธเจ้าปรินิพพาน พระมหากัสสปะเป็นผู้นำเลยทีเดียว ในการทำสังคายนา โดยที่ท่านได้ปรารภว่า พระพุทธเจ้าปรินิพพานแล้ว มีผู้กล่าวจ้วงจาบพระธรรมวินัย คือพระสุภัททวุฑฒบรรพชิต จึงจะต้องรีบทำสังคายนาวางหลักการไว้ให้แน่นอน ไม่ให้คนที่คิดร้ายได้ช่องที่จะประพฤติไขว้เขวออกไป
และถ้าสืบต่อไปอีก การทำสังคายนานี้ ใครเป็นผู้เคยริเริ่มไว้ก่อน ก็คือพระสารีบุตร พระสารีบุตรนั้นเคยทำสังคายนาไว้เป็นตัวอย่าง ก่อนพระพุทธเจ้าปรินิพพานด้วยซ้ำ ทำไว้ตอนที่นิครนถนาฏบุตรสิ้นชีพ ตอนนั้นสาวกของนิครนถ์แตกกัน พระสารีบุตรก็ปรารภว่า เห็นไหมสาวกในบางศาสนา พอศาสดาสิ้น เขาก็แตกกันไม่มีหลักมีเกณฑ์ เพราะฉะนั้น เราควรจะทำสังคายนาพระธรรมวินัยไว้เป็นหลักเป็นฐาน เป็นแบบแผนอันเดียวกัน จะได้ยึดถือปฏิบัติต่อไป ก็จึงได้ทำสังคายนาเป็นตัวอย่างไว้ปรากฏอยู่ในพระไตรปิฎก เรียกว่า สังคีติสูตร3
ส่วนพระมหากัสสปะเป็นพระป่า พอพระพุทธเจ้าปรินิพพาน ก็เป็นหัวหน้าจัดประชุมทำสังคายนาเป็นครั้งแรก เป็นคติแก่พระอรหันต์สมัยต่อๆ มาที่จะต้องยุ่งเกี่ยวกับกิจการส่วนรวม เช่น พระอุปคุตตเถระ ท่านไปจำพรรษาบำเพ็ญฌานอยู่ในที่ไกลผู้คน ตอนนั้นพระศาสนามีงานสำคัญ มีการประชุมครั้งใหญ่ของพระเจ้าอโศก ต้องการความพร้อมเพรียงของผู้ที่จะทำกิจการส่วนรวม พระอรหันต์ทั้งหลายก็ประชุมกัน พิจารณาว่ามีพระอรหันต์อุปคุตนี้ไปทำสมาธิบำเพ็ญฌาน ปลีกตัวเงียบอยู่ ก็มีมติลงโทษเลย มติที่ประชุมให้ลงโทษเรียกว่าทำทัณฑกรรมแก่พระอรหันต์อุปคุต ให้มารับหน้าที่ในการปกป้องดูแลกิจการสมโภชมหาวิหารของพระเจ้าอโศก
หรืออย่างตอนที่ พระเจ้ามิลินท์ กำลังเบียดเบียนพุทธศาสนาและทุกศาสนา ด้วยการท้าโต้วาทีทั่วไปหมด ใครๆ ก็แพ้ไปหมดสิ้น พุทธศาสนาก็จะแย่ เพราะไม่มีปราชญ์ไปสู้พระเจ้ามิลินท์ พระผู้ใหญ่ทั้งหลายก็มาประชุมกันหาทางแก้ไขว่า จะต้องหาคนดีมีปัญญามาสู้พระเจ้ามิลินท์ เวลานั้นมีพระอรหันต์องค์หนึ่งไปอยู่ในป่า ไม่มาร่วมในที่ประชุม ที่ประชุมก็ลงโทษพระอรหันต์องค์นั้นเลย ทำทัณฑกรรม ให้พระอรหันต์องค์นี้มารับมอบหน้าที่จากที่ประชุม โดยที่ประชุมร่วมกันหา และกำหนดตัวบุคคลที่จะเอามาสู้พระยามิลินท์ แล้วให้พระอรหันต์องค์นี้คอยเป็นอาจารย์ให้การศึกษาเตรียมพร้อม เพื่อจะได้มาสู้กับพระเจ้ามิลินท์ ก็เลยได้ พระนาคเสน มา
นี่เป็นตัวอย่าง คือกิจการส่วนรวมเป็นเรื่องที่จะต้องร่วมกันพิจารณาเอาใจใส่ นี้เป็นคติทางพุทธศาสนา แต่ในบางยุคบางสมัย เราไปถือว่าไม่เอาธุระ จะมีเรื่องราวกระทบกระเทือน มีภัยเกิดกับส่วนรวมก็ไม่ยุ่งไม่เกี่ยวอะไรต่างๆ แล้วเห็นเป็นว่าไม่มีกิเลสไปก็มี อย่างนี้เป็นทางหนึ่งของความเสื่อมในพระพุทธศาสนา
๔. อีกอย่างหนึ่ง คือ การฝากศาสนาไว้กับพระ ชาวพุทธจำนวนมากทีเดียว ชอบฝากศาสนาไว้กับพระอย่างเดียว แทนที่จะถือตามคติของพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าตรัสว่า พระศาสนานั้นอยู่ด้วยบริษัททั้ง ๔ คือ ภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกา ไม่ใช่บริษัทใดบริษัทหนึ่ง แต่จะต้องช่วยกัน
ทีนี้ พวกเรามักจะมองว่าพระศาสนาเป็นเรื่องของพระ บางทีเมื่อมีพระประพฤติไม่ดี ชาวบ้านบางคนบอกว่าไม่อยากนับถือแล้วพุทธศาสนา อย่างนี้ก็มี แทนที่จะเห็นว่า พระพุทธศาสนาเป็นของเรา พระองค์นี้ประพฤติไม่ดี เราต้องช่วยกันแก้ ต้องเอาออกไป แทนที่จะคิดอย่างนั้น กลับกลายเป็นว่าเรายกศาสนาให้พระองค์นั้น เหมือนโจรผู้ร้ายเข้ามาปล้นบ้านของเรา แทนที่จะรักษาทรัพย์สมบัติของเรา กลับยกสมบัตินั้นให้โจรไปเสีย พระองค์ที่ไม่ดีก็เลยดีใจกลายเป็นเจ้าของศาสนา เรายกให้แล้ว บอกไม่เอาแล้วศาสนานี้ เป็นอย่างนี้ก็มี นี่เป็นทัศนคติที่ผิด ชาวพุทธเราทั่วไปไม่น้อยมีความคิดแบบนี้ ทำเหมือนกับว่าพระพุทธศาสนาเป็นเรื่องของพระ เราก็ไม่ต้องรู้ด้วย
ยิ่งกว่านั้น ชาวพุทธมักไม่มีข้อปฏิบัติประจำตัว ของตัวเองอย่างในศาสนาอื่น ยกตัวอย่างชาวมุสลิม เขาต้องมีละหมาดวันละ ๕ ครั้ง เป็นข้อปฏิบัติที่แสดงว่าเป็นศาสนิกของศาสนานั้นๆ แต่ชาวพุทธคฤหัสถ์ของเราไม่ค่อยมีข้อปฏิบัติของตัวเองที่ชัดออกมาว่า ถ้าเป็นชาวพุทธจะต้องปฏิบัติตัว ต้องรักษาข้อปฏิบัติอะไรบ้าง ดังนั้น เมื่อไม่มีพระเป็นหลัก ศาสนาก็หมด ตอนนั้นมุสลิมมาฆ่าพระหมด ชาวพุทธที่เป็นคฤหัสถ์ไม่มีหลัก เลยถูกฮินดูกลืนหมด เพราะฉะนั้น ที่ว่าสูญสิ้นนั้น คือ หนึ่ง ถูกเขาปราบทำลาย สอง ถูกเขากลืนไปง่ายๆ นี่เป็นเพราะฝากศาสนาไว้กับพระอย่างเดียว นี่เป็นอีกข้อหนึ่ง
นอกจากนี้ก็มีเบ็ดเตล็ดอีกหลายอย่าง เช่นที่เขาบอกว่าทางอินเดียอาจจะถือว่า พุทธศาสนาเป็นศาสนาของคนต่างชาติ เขาเลยพยายามกำจัดอยู่เรื่อย พระพุทธเจ้าก็มีนักปราชญ์สันนิษฐานว่าเป็นเชื้อชาติมงโกล คือแบบพวกเรานี้ ไม่ใช่เชื้อชาติอินเดียอย่างนั้น เพราะเกิดในถิ่นที่ปัจจุบันเรียกว่าเนปาล คนเนปาลก็รูปร่างหน้าตาเหมือนคนไทย เป็นมงโกลเหมือนกัน4 พวกอินเดียเลยไม่ชอบ
พระเจ้าอโศกเองก็เป็นเชื้อชาติมงโกล ไม่ใช่เชื้อชาติอินเดีย อินเดียเลยไม่ชอบ เพราะฉะนั้นพระเจ้าอโศก แม้จะยิ่งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ แต่ถ้าฝรั่งไม่มาขุดค้นโบราณสถานแสดงหลักฐานให้ปรากฏแล้ว อินเดียไม่รู้จักเลย เขาลืมกันหมดเรียบร้อยแล้ว จนกระทั่งฝรั่งมาขุดค้นโบราณวัตถุเจอ พระเจ้าอโศกจึงปรากฏเกียรติยศขึ้นมาว่า เป็นกษัตริย์ผู้ยิ่งใหญ่
หรืออย่างพระเจ้ากนิษกะมหาราช ก็เป็นมงโกลอีก ไม่ใช่ชาวอินเดียแท้ มหาอำมาตย์ที่ปรึกษาของราชวงศ์คุปตะ ส่วนมากเป็นพุทธ ราชวงศ์คุปตะเลือกชาวพุทธ เพราะเป็นผู้มีความรู้ดี และมหาอำมาตย์พวกนั้นเป็นต่างชาติทั้งนั้น ไม่ใช่ชาวอินเดีย อาจจะเป็นได้ว่า กษัตริย์ฮินดู หรือชาวอินเดียพยายามที่จะตัดรอนพุทธศาสนา เพราะถือว่าไม่ใช่ของชาวอินเดียแท้จริง
อีกข้อหนึ่ง ที่โน้มไปในทางที่ทำให้เกิดการกลมกลืนได้ง่ายก็คือ ตอนที่พระพุทธศาสนารุ่งเรืองอยู่แล้ว และราชวงศ์ฮินดูขึ้นครองราชย์ มีอำนาจเข้มแข็ง เป็นผู้อุปถัมภ์พุทธศาสนา ชาวพุทธก็ใจอ่อนเพราะความใจกว้างอยู่แล้ว ก็เอาใจผู้ปกครอง มักจะผ่อนปรนประนีประนอมจนเสียหลักของตัว เช่นว่า อย่างนี้ก็ได้ อย่างนั้นก็ได้ ยังไงก็ได้ ไปๆ มาๆ เลยกลายเป็นหายไปเลย กลมกลืนกันไปหมด แต่ไปรวมอยู่ข้างในศาสนาฮินดู พระพุทธเจ้ากลายเป็นอวตารปางหนึ่งของพระนารายณ์
อีกข้อหนึ่งก็คือพระ พอได้รับการอุปถัมภ์มาก มีความสุขสบาย บางส่วนก็มีความประพฤติย่อหย่อน และอาจจะเหินห่างจากประชาชนทั่วๆ ไป เพราะว่าได้รับความอุปถัมภ์จากพระมหากษัตริย์ เป็นต้น อย่างที่มหาวิทยาลัยนาลันทาที่ว่ารุ่งเรืองนั้น มีความเสื่อมอยู่ด้วยในตัว พระเจ้าแผ่นดินยกหมู่บ้านที่อยู่รอบบริเวณนั้น เก็บภาษีถวายบำรุงมหาวิทยาลัยนาลันทา พระสงฆ์ก็เลยไม่ได้เกี่ยวข้องกับประชาชน อาศัยการอุปถัมภ์ของพระเจ้าแผ่นดินอยู่สบาย เรียนหนังสือไปเป็นนักปรัชญาอะไรต่ออะไร ถกเถียงกันไป ห่างประชาชน นานๆ เข้า พุทธศาสนาก็หมดความหมายไปจากประชาชน
ต่อจากนั้น ก็มาถึงคติการก่อสร้างสิ่งใหญ่โต ให้สังเกตว่า เมื่อมีการสร้างสิ่งใหญ่โตมากๆ ไม่ช้าศาสนามักจะค่อยๆ เสื่อม บางทีพระอาจจะมัววุ่นวายหรือเพลิดเพลินกับงานพวกนี้ จนลืมทำหน้าที่หลักของตัวเอง ก็เป็นเรื่องที่ต้องพิจารณารายละเอียดว่าเป็นเพราะอะไร แต่อย่างน้อยข้อพิจารณาสำคัญ คือจะต้องแยกว่าเป็นการก่อสร้างเพื่อใช้งานที่ยิ่งใหญ่ หรือเป็นการสร้างเพื่อแสดงความยิ่งใหญ่
แต่จะอย่างไรก็ตาม ในการสร้างสิ่งใหญ่โตจะต้องคำนึงถึงเสมอว่า จะต้องมีคนไว้ใช้สิ่งก่อสร้างนั้น เอาไว้รักษาบ้าง เอาไว้ใช้ให้เป็นประโยชน์บ้าง เพราะสร้างขึ้นมาทำไม ถ้าไม่ใช้ให้เป็นประโยชน์ ทีนี้คนที่จะใช้ก็ต้องเป็นคนที่มีธรรม เป็นผู้ปฏิบัติตามธรรม เพราะฉะนั้นเมื่อสร้างสิ่งก่อสร้างใหญ่โตก็ต้องสร้างคนไปด้วย สร้างคนดีที่จะมาใช้มารักษาสิ่งที่สร้างนั้น
การลืมสร้างคนนี้อาจเป็นเหตุหนึ่ง ที่ทำให้พุทธศาสนาเสื่อมโทรมลงไป เพราะฉะนั้นสิ่งก่อสร้างที่ใหญ่โตนั้น เมื่อเหลือหลงมาก็กลายเป็นเหยื่อของผู้อื่นต่อไป หนึ่ง ก็กลายเป็นสิ่งที่มีค่าที่เขาอยากครอบครอง สอง เขาก็เอาไปใช้ในศาสนาของเขา ถ้าไม่ใช้ เขาก็เอามาลบหลู่ให้เป็นที่กระทบกระเทือนใจแก่พวกเรา อย่างที่ได้ไปเห็นกันหลายๆ แห่ง
รวมความทั้งหมดนี้ เมื่อพระพุทธศาสนาสูญสิ้นไปก็ดี ถาวรวัตถุสูญสิ้นไปก็ดี มหาอาณาจักรน้อยใหญ่สูญสิ้นทำลายไปก็ดี ก็ได้คติธรรมตามหลักอนิจจัง ที่เป็นไตรลักษณ์ หลักอนิจจังนั้นให้คติ ๒ อย่างในทางธรรม
คติที่ ๑ ก็คือว่า ทำให้เราปลงธรรมสังเวช การปลงธรรมสังเวช ก็คือเป็นเรื่องกระตุ้นเตือนภายในใจของเราให้เห็นคติธรรมดาของสังขารที่มีการเกิดขึ้น มีความตั้งอยู่ เสื่อมสลาย และสิ้นสูญไป ถ้าเรารู้เข้าใจคติธรรมดาอย่างนี้แล้ว ใจเราก็จะได้ไม่เศร้าโศกเสียใจ มีใจผ่องใสเบิกบานอยู่ได้ เราไปเห็นสถานที่ทางพุทธศาสนาที่เคยรุ่งเรืองอยู่นานถึง ๑๗๐๐ ปี ยิ่งใหญ่ขนาดไหน แต่ทำไมเดี๋ยวนี้สูญสิ้นไปเหลือแต่ซาก
บางแห่งซากก็ไม่มีเหลือ อย่างวังของพระเจ้าปเสนทิโกศล ซากก็หาไม่ได้ วัดบุพพารามที่นางวิสาขาสร้างขึ้น ก็ถูกแม่น้ำอจิรวดีพัดพาไปหมด ไม่มีเหลือเลย แม้แต่ซาก ถ้าใจของเราไม่รู้เท่าทันไตรลักษณ์ เราก็อาจจะเศร้าโศกมัวหมองก็ได้
เพราะฉะนั้น เมื่อรู้ธรรมดาของสังขารอย่างนี้แล้ว ถึงจะมองเห็นความเกิดขึ้นเสื่อมสูญไป ใจเราก็ผ่องใสเบิกบานอยู่ได้เป็นอิสระ อันนี้ก็เป็นการปรับใจภายใน ทำใจได้ดี นี้เป็นประการที่หนึ่ง
ต่อไปคติที่ ๒ ก็คือเป็นเครื่องเตือนใจ เป็นบทเรียนให้ไม่ประมาท เพราะสิ่งอย่างนี้หรือความเสื่อมความสูญสิ้นนั้น ไม่ควรให้เกิดขึ้นบ่อยๆ ไม่ควรให้เกิดขึ้นอีก และไม่ควรให้เกิดขึ้นโดยง่าย คือไม่ควรปล่อยหรือไม่ควรยอมให้เกิดขึ้น เพราะฉะนั้น สิ่งใดที่เกิดขึ้นมาในอดีตแล้วเป็นเหตุแห่งความเสื่อม สิ่งนั้นเราควรหลีกเลี่ยง สิ่งใดเป็นเหตุแห่งความเจริญ เราก็ช่วยกันสร้างสรรค์ต่อไป นี่เป็นคติของความไม่ประมาท
พระพุทธเจ้าเมื่อสอนมักสอนทั้ง ๒ อย่างนี้ คือ สอนข้อที่หนึ่งเพื่อให้ใจของเราเป็นอิสระอยู่ได้ ผ่องใสเบิกบานไม่เศร้าโศก และก็สอนข้อที่สองเพื่อให้บทเรียนที่จะทำให้เกิดความไม่ประมาท โดยแสดงออกมาเป็นการกระทำที่จะปรับปรุงภายนอกให้มันดี ให้มันเจริญงอกงามต่อไปด้วย
บางทีเราได้อันเดียว พวกหนึ่งได้แต่ปรับใจภายใน ทำใจไม่ให้เศร้าโศก แล้วก็ไม่ปรับปรุงข้างนอก เกิดความประมาทก็ปล่อยปละละเลย ก็เสื่อมอีกๆ มีแต่เสื่อมเรื่อยไปจนสูญหมด ส่วนอีกบางพวกก็เอาแต่ไม่ประมาทจะต้องแก้ไขปรับปรุง โดยที่ในใจก็อาจจะเร่าร้อนเศร้าหมอง เพราะฉะนั้น ต้องให้ได้ทั้ง ๒ อย่าง
เมื่อชาวพุทธปฏิบัติธรรมไม่ครบ พุทธศาสนาเองก็จะเสื่อม ดังนั้น หนึ่ง ใจต้องเป็นอิสระ ผ่องใสเบิกบานเสมอ สอง ต้องได้ความไม่ประมาทที่จะกระทำการเพื่อหลีกเลี่ยงความเสื่อม และสร้างความดีงามความเจริญก้าวหน้าสืบต่อไป
นี้ก็เป็นคติที่ได้จากเรื่อง สังเวชนียสถาน ที่ผ่านมา ก็เข้ากับคติคำว่า สังเวช ที่อาตมภาพได้กล่าวมาแล้วว่า สังเวช นั้นแปลว่า กระตุ้นใจให้ได้ความคิด คิดอะไร คิดรู้เท่าทันความจริง ปลงใจวางใจได้อย่างหนึ่ง คิดที่จะไม่ประมาท ที่จะเร่งป้องกันและแก้ไขปรับปรุงให้มีแต่ความเจริญงอกงามมั่นคงและความดีงามอย่างหนึ่ง
นี่อินเดียก็ผ่านไปแล้ว ความเสื่อม ความพินาศสูญสิ้นก็ได้เกิดขึ้นแล้ว เป็นบทธรรมและบทสอนธรรมอันยิ่งใหญ่
พระพุทธศาสนาก็ยังอยู่ในประเทศไทย ในโลกเขาก็ยังถือกันว่า พุทธศาสนานี้เจริญรุ่งเรืองในประเทศไทย ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางพุทธศาสนา ก็นับว่าเรามีโชคดีที่เป็นที่รองรับ เป็นแหล่งใหญ่ของพระพุทธศาสนา แม้ว่าในบ้านเมืองของเรา พุทธศาสนาบางครั้งจะเจริญบ้างเสื่อมบ้างเป็นคติธรรมดา แต่เราก็ต้องพยายามช่วยกันรักษาไว้ สืบต่อไป
เราจะเห็นว่า บางคราวพุทธศาสนาในเมืองเสื่อมไป แต่พระในป่าก็ยังช่วยรักษาพุทธศาสนาไว้ แต่พระในป่าก็ต้องเตือนท่านเหมือนกันว่า ต้องเอาธุระกับการส่วนรวมด้วย อย่าถือคติไม่ยุ่งไม่เกี่ยว และต้องสอนต้องชักจูงชาวบ้านให้มีทัศนคติทางธรรมที่ถูกต้อง เอากิจเอาการของส่วนรวม อะไรเข้ามากระทบกระเทือนพระศาสนา ก็ต้องขวนขวายป้องกันแก้ไข พระพุทธศาสนาจึงจะรักษาอยู่ด้วยดี
เอาละ อาตมภาพจะปิดรายการละ เป็นอันว่าพุทธศาสนาในเมืองไทยนี้ก็ให้เราช่วยกันรักษาไว้ แต่การที่จะรักษาด้วยดีนั้น เราก็ต้องเรียนคติที่ได้รับจากอดีต มีบทเรียนมาช่วยด้วย ความรู้ในอดีตนั่นแหละจะมาช่วยเรา อาตมภาพกล่าวไว้อย่างหนึ่งแล้ว ก็ขอกล่าวต่อไป ไหนๆ ก็เลยเวลามาแล้ว
เคยพูดไว้ทีหนึ่งว่า การที่จะเข้าใจพุทธศาสนาให้ได้ดีนั้น ไม่ใช่เพราะเรียนหลักคำสอนเท่านั้น จะต้องรู้เหตุการณ์ความเป็นมาด้วย อันนั้นจะช่วยให้เข้าใจได้ดีขึ้น เพราะว่า การที่จะเข้าใจคำสอนที่เป็นตัวหลักของพระพุทธศาสนานั้น องค์ประกอบอย่างหนึ่งก็คือเราจะต้องมีการตีความ คนเรานี้อ่านอะไรก็ตาม เรียนอะไรก็ตาม เราจะมีการตีความด้วย
ทีนี้ การตีความ นั้นก็มักจะอาศัยภูมิหลัง คือความรู้ในเหตุการณ์ความเป็นมาของเราเข้าไปประกอบ ยกตัวอย่างง่ายๆ เมื่อเราไปอินเดีย เรามีภูมิหลังมีประสบการณ์ของเรา เราไปพบคนอินเดียเราก็ตีความตามภูมิหลังของเรา ชาวอินเดียโคลงหัว เรานึกว่าเขาปฏิเสธ นี่ก็คือตีความตามภูมิหลังประสบการณ์ที่เรามี แต่อินเดียเขาโคลงหัวหมายความว่า เขารับ ใช่ไหม มันตรงข้าม เพราะฉะนั้น เราต้องเรียนรู้เหตุการณ์ความเป็นไป ภูมิหลังวัฒนธรรมของอินเดียด้วย เราจึงจะเข้าใจถูกต้อง
อย่างไรก็ตาม ความหมายทางคำสอน ก็ต้องเรียนด้วย ต้องประกอบกันทั้งคู่ ไม่เช่นนั้นการตีความก็อาจจะผิด เช่นอย่างในเรื่องพระผู้ที่ตีความไปตามเหตุการณ์ หรือตามประสบการณ์ ถ้าถามว่าความหมายของ สมณะ คืออะไร สมณะในพุทธศาสนาคืออะไร อย่างที่เคยกล่าวไว้ในวันมาฆบูชา สมณะมีความหมายว่าอะไร ถ้าเราไม่มีหลักก็อาจจะยุ่ง ภาพของความเป็นสมณะอยู่ที่ไหน
พวกหนึ่งอาจจะมองว่า พระได้แก่ผู้มีฤทธิ์ มีปาฏิหาริย์ อย่างนี้ก็มี หมายถึงว่าถ้าเป็นพระเป็นนักบวช ก็ต้องเป็นผู้มีฤทธิ์มีปาฏิหาริย์ พวกนี้ก็จะหวังฤทธิ์ หวังปาฏิหาริย์จากพระ
ทีนี้ บางคนในสมัยปัจจุบันอาจจะมองพระเป็นนักเรี่ยไรก็ได้ ถ้าเห็นพระก็ว่า นักเรี่ยไรมาแล้ว มีหวังจะเสียเงินอีกแล้ว นี่คือภาพของพระที่อยู่ในใจของคนที่ต่างกันไป
แต่ภาพของพระ ในประวัติของพระพุทธศาสนาที่แท้จริง คืออะไร คือผู้สงบ ผู้ไม่มีภัยอันตรายใดๆ ตามโอวาทปาฏิโมกข์ที่เราพูดกันในวันมาฆบูชาว่า น หิ ปพฺพชิโต ปรูปฆาตี สมโณ โหติ ปรํ วิเหฐยนฺโต ผู้ที่ทำร้ายผู้อื่นไม่ชื่อว่าเป็นบรรพชิต ผู้เบียดเบียนผู้อื่นไม่เป็นสมณะ หมายความว่า ภาพของสมณะในความหมายของเราตามหลักของพระพุทธศาสนา คือผู้ไม่มีภัยอันตราย ไปที่ไหนมีแต่ทำให้เกิดความสงบ ความปลอดโปร่งโล่งใจ
พระเป็นเครื่องหมายของความไม่มีภัย พระไปที่ไหนคนก็รู้สึกร่มเย็น มีความปลอดโปร่งโล่งใจ ไม่ต้องระแวงภัย เพราะฉะนั้น ถ้าเราช่วยกันรักษาภาพอันนี้ไว้ได้ สมณะในพระพุทธศาสนาก็อยู่ในความหมายที่แท้จริง
สิ่งเหล่านี้เป็นเรื่องที่เราจะต้องเรียนรู้ไว้ ทั้งเหตุการณ์ ความเป็นมาและหลักคำสอนที่แท้จริง เอามาใช้เพื่อจะบำรุงรักษาพระพุทธศาสนาให้เจริญมั่นคงอยู่ต่อไป
การที่พระพุทธศาสนาจะเจริญมั่นคง เราต้องรักษาตัวหลักธรรมที่แท้ไว้ให้ได้ ตีความให้เข้าใจถ่องแท้ ปฏิบัติตามให้ถูกต้อง นี่ก็คือคติจากทั้งหมดที่ได้ผ่านมา ทั้งที่ดูรู้เห็นด้วยตาตนเอง และที่อาตมภาพได้กล่าวเสริม บัดนี้ก็พอสมควรแก่เวลา