หลังจากบทความข้างต้นนี้ได้เผยแพร่ออกไปแล้ว ต่อมามีข่าวคืบหน้าว่า บริษัท ฟ้าอภัย จำกัด ซึ่งได้ทราบว่าเป็นกิจการของสันติอโศก ได้พิมพ์หนังสือของชาวสันติอโศกออกเผยแพร่ใหม่เล่มหนึ่ง ชื่อ "วิเคราะห์พระเทพเวที กรณีโพธิรักษ์" เขียนโดย ว. ชัยภัค
หนังสือเล่มนี้ ว่าโดยทั่วไปไม่มีเนื้อหาที่ควรจะยกมาพิจารณา เพราะมีลักษณะที่เป็นการพยายามเบนเรื่องราวให้เป็นกรณีส่วนตัว หรือทำให้ผู้อ่านเกิดความรู้สึกว่าเป็นเรื่องของคู่กรณี แทนที่จะเป็นเรื่องของการสร้างความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับปัญหาที่เกิดขึ้นแก่พระศาสนา และมีผลกระทบต่อสังคม
แต่สิ่งสำคัญที่จะต้องยกมากล่าวในที่นี้ ก็คือ หนังสือนี้ได้สร้างปัญหา ที่เป็นการทำลายหลักการของพระพุทธศาสนาเพิ่มขึ้นอีก ด้วยการนำหลักฐานจากพระไตรปิฎกมาอ้างอย่างบิดเบือนความ ซึ่งอาจทำให้คนที่ไม่มีโอกาสตรวจสอบเกิดความหลงเข้าใจผิดว่าหลักฐานนั้นเป็นความจริง และเกิดความสับสนไขว้เขวต่อหลักการของพระพุทธศาสนา
ประเด็นที่หนังสือนั้นสร้างปัญหาเพิ่มขึ้นอีก คือการอ้างว่า พระโพธิสัตว์เป็นพระอรหันต์ได้
พึงสังเกตว่า ก่อนจะจัดพิมพ์หนังสือเล่มใหม่นี้ คุณ ว. ชัยภัค ได้เคยอ้างหลักฐานจากพระไตรปิฎก เล่ม ๓๗ (พระอภิธรรมปิฎก กถาวัตถุปกรณ์ อ้างใน บทความที่ตีพิมพ์ในนิตยสาร "สมาธิ" ปีที่ ๔ ฉบับที่ ๔๓ หน้า ๑๗ และอ้างอีกใน "วิเคราะห์พระเทพเวที" หน้า ๖๗) มายืนยันว่าพระโพธิสัตว์บรรลุมรรคผลเป็นอริยบุคคลแล้ว แต่หลักฐานที่นำมาอ้างนั้นไม่เป็นความจริง และกลับมีผลในทางตรงกันข้าม คือ เป็นการบ่งชี้พิสูจน์ หรือยืนยันว่าท่านโพธิรักษ์ หรือชาวสันติอโศกมีความเห็นผิด อย่างเดียวกันกับความเห็นผิดของคนบางกลุ่มในสมัยโบราณ ที่พระอภิธรรมปิฎกได้ยกขึ้นมาระบุไว้ และได้พยายามชี้แจงแก้ไขมาแล้ว
ในการกล่าวอ้างว่า พระโพธิสัตว์เป็นพระอรหันต์ได้นั้น หลักฐานจากพระไตรปิฎกที่คุณ ว. ชัยภัค ยกมายืนยันเพิ่มเติมให้หนักแน่นในหนังสือเล่มใหม่นี้ คือเรื่อง สุเมธดาบส ใจความว่า พระพุทธเจ้าพระองค์ปัจจุบันนี้ ในชาติแรกที่ได้รับพยากรณ์จากพระทีปังกรพุทธเจ้า ว่าจะได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้านั้น เป็นพระโพธิสัตว์ชื่อว่า สุเมธดาบส และสุเมธดาบสนั้นก็เป็นพระอรหันต์แล้ว ดังนั้น พระโพธิสัตว์จึงเป็นพระอรหันต์ได้
ข้อความจากพระไตรปิฎกที่คุณ ว. ชัยภัค อ้างว่า สุเมธดาบสเป็นพระอรหันต์นั้น คือคำที่สุเมธดาบสกล่าวถึงตนเองว่าเป็นผู้ "ถึงที่สุดแห่งอภิญญา" (แปลจากคำบาลีว่า อภิญฺาปารมิงฺคโต ซึ่งแปลตามศัพท์ว่า เป็นผู้ถึงความยอดยิ่งในอภิญญา) ข้อความนี้ไม่ได้ระบุว่าอภิญญากี่อย่าง หรืออภิญญาข้อไหน เป็นอภิญญาแบบไหน โลกียะหรือโลกุตตระ เป็นอภิญญาในพระพุทธศาสนา หรืออภิญญาของฤาษีดาบส นอกพุทธศาสนา แต่คุณ ว. ชัยภัค ลงมติตัดสินว่าเป็นอภิญญาขั้นสุดท้ายในพระพุทธศาสนา (คืออภิญญาข้อที่ ๖) จึงหมายถึงเป็นพระอรหันต์
คุณ ว. ชัยภัค ได้ยกข้อความหรือถ้อยคำที่ไม่บ่งชัดมาอ้าง และกล่าวเองว่าข้อความนั้นหมายถึงเป็นพระอรหันต์ (จบอภิญญาถึงข้อที่ ๖) ทั้งที่ในเรื่องนั้นเองยังมีข้อความต่อไปอีก และคำพูดตอนต่อไปของสุเมธดาบสเองที่กล่าวสรุปไว้ก็ได้บ่งชัดว่า สุเมธดาบสจบอภิญญา ๕ เท่านั้น (ข้อความบาลีว่า ปญฺจาภิญฺาสุ ปารคู แปลเป็นไทยว่า เราเป็นผู้ถึงฝั่ง (คือจบ) ในอภิญญา ๕ - ขุ.พุทธ. พระไตรปิฎกเล่ม ๓๓ ข้อ ๒ หน้า ๔๓๖) ซึ่งแสดงชัดว่าสุเมธดาบสไม่ได้เป็นพระอรหันต์ เพียงแต่เป็นผู้ยอดเยี่ยมเจนจบในเรื่องฤทธิ์เดชปาฏิหาริย์ ที่เป็นอภิญญาอย่างของพวกฤาษีดาบสนอกพระพุทธศาสนาเท่านั้น
ทั้งที่มีหลักฐานระบุชัดเจนอย่างนี้ แต่คุณ ว. ชัยภัค ไม่อ้าง กลับไปยกเอาข้อความที่ไม่บ่งชัดมาอ้าง แล้วถือโอกาสตัดสินความหมายตามที่ตนต้องการ เพื่อเอามายืนยันความเห็นของท่านโพธิรักษ์ ที่ว่าพระโพธิสัตว์เป็นพระอรหันต์ได้ เป็นการพยายามนำเอาความเห็นผิดที่พระพุทธศาสนาปฏิเสธ มายกใส่ให้เป็นหลักการของพระพุทธศาสนา ด้วยวิธีอ้างหลักฐานที่อำพรางความจริง เป็นการชักจูงให้คนอ่านหลงเข้าใจผิด