คนที่เข้าใจผิดต่อสิ่งทั้งหลายแล้วเข้าไปยึดถือเป็นสมบัติครอบครองและหวังว่าสิ่งเหล่านั้นจะเป็นเครื่องบำรุงบำเรอความสุขให้ตนเอง เขาก็จะมองแต่ในแง่ว่าจะหาความสุขจากสิ่งเหล่านั้น โดยเอาสิ่งเหล่านั้นมาบำรุงบำเรอตัวเอง เพราะฉะนั้น สิ่งที่มนุษย์หมายปอง ที่สำคัญจึงมี ๒ อย่างคือ ลาภกับยศ หรือทรัพย์กับอำนาจ
ทรัพย์กับอำนาจนี้เป็นสิ่งที่มนุษย์มีความต้องการแสวงหากันเป็นอย่างยิ่ง เมื่อแสวงหาทรัพย์และอำนาจมาด้วยความเข้าใจผิดอย่างที่ได้กล่าวมาแล้ว คือ ด้วยความมุ่งหมายใฝ่หวังที่จะยึดถือครอบครองเป็นสิ่งให้ความสุขแก่ตัวเอง โดยเอาทรัพย์มาใช้บำรุงบำเรอความสุขของตน และเอาอำนาจมาเป็นเครื่องมือหรือช่องทางที่จะแสวงหาสิ่งบำรุงบำเรอความสุขของตนให้ได้มากยิ่งขึ้น ตลอดจนแสดงความยิ่งใหญ่ของตน เสร็จแล้วด้วยการหาความสุขแบบนี้ก็ทำให้มนุษย์เบียดเบียนกัน ก่อความเดือดร้อนแก่สังคม โลกมนุษย์นี้ที่มีการเบียดเบียนกัน มีภัยอันตรายต่างๆ ตลอดจนกระทั่งสงครามก็เพราะเรื่องนี้
พอบุคคลรู้เข้าใจความจริงว่า สิ่งทั้งหลายเหล่านี้เป็นของภายนอก มันไม่ใช่เป็นของของเราจริง แต่เป็นของธรรมชาติ ทั้งตัวเราและมันก็เป็นไปตามกฎธรรมชาติ อยู่ภายใต้กฏเกณฑ์แห่งความเป็นไปตามเหตุปัจจัยของธรรมชาติเช่นเดียวกัน มันมาพบกับเราชั่วคราว เราก็ใช้มันให้เป็นประโยชน์ตามวัตถุประสงค์ที่ดีงาม มันช่วยให้เรามีความสุขได้ แต่นั่นก็คือการที่เรายังต้องพึ่งพาอาศัยมัน แต่มันกับเราก็ต่างหากจากกัน เราไม่สามารถพึ่งมันได้ตลอดเวลาและตลอดไป หน้าที่ของเราก็คือการทำตัวให้เป็นอิสระให้มากขึ้น โดยมีความสุขได้เองมากขึ้นๆ และเราก็สามารถพัฒนาชีวิตของเราให้เป็นอิสระ มีความสุขได้โดยลำพังตนเองมากขึ้นจริงๆ ด้วย
เมื่อเราพัฒนาตนให้เป็นอิสระมากขึ้นแล้ว มีความสุขอยู่ในตัวเองมากขึ้นแล้ว ทรัพย์และอำนาจก็จะมีความหมายใหม่ แต่เดิมนั้นทรัพย์และอำนาจเป็นอุปกรณ์ในการที่จะหาอามิสวัตถุมาบำรุงบำเรอความสุขส่วนตัว แต่เมื่อเราพัฒนาตัวเองมากขึ้นแล้ว ก็มีความเข้าใจใหม่ ทรัพย์และอำนาจกลายเป็นอุปกรณ์สำหรับสร้างสรรค์ความดีงามและประโยชน์สุขให้ขยายกว้างขวางออกไป
คนที่มีความคิดดีๆ มีความฉลาด แต่ไม่มีทรัพย์ ไม่มีบริวาร ไม่มีอำนาจ จะทำอะไรก็ติดขัด ทำได้แคบๆ ทำได้นิดๆ หน่อยๆ บางทีทำตั้ง ๑๐ ปีก็ยังไม่ไปถึงไหน แต่พอมีทรัพย์มีอำนาจก็สามารถขยายความคิดนั้น ทำความดีตามความคิดของตนให้สำเร็จได้ ความคิดดีงามก็ขยายออกไปเป็นประโยชน์อย่างกว้างขวาง เพราะฉะนั้นทรัพย์และอำนาจก็กลายมาเป็นเครื่องมือของความดีงาม หรือเป็นอุปกรณ์ของธรรมไป เราก็เปลี่ยนจากการใช้ทรัพย์และอำนาจเป็นช่องทางบำรุงบำเรอความสุขส่วนตัว หันมาใช้ทรัพย์และอำนาจ ใช้เงินทอง ยศ ตำแหน่ง บริวาร เป็นอุปกรณ์ในการที่จะสร้างสรรค์ความดีงาม และประโยชน์สุขแก่เพื่อนมนุษย์ เพื่อชีวิตและสังคมที่ดีงามร่วมกัน
ทั้งหมดนี้ก็อยู่ที่การเข้าใจความจริงที่ได้กล่าวมา คือการพิจารณาความจริงชุดที่สองที่ว่าเราจะต้องมีความพลัดพรากจากของรักของชอบใจทั้งสิ้น คือการรู้เข้าใจความจริงของสิ่งทั้งหลายที่มาสัมพันธ์กับตัวเราดังที่ได้กล่าวมาแล้ว ว่าทั้งเราและสิ่งเหล่านั้น คนเหล่านั้น ล้วนแต่เป็นไปตามเหตุปัจจัยในกฎธรรมชาติด้วยกัน แล้วก็พัฒนาตัวเอง ทำชีวิตให้เป็นอิสระ ให้มีความสุขที่เป็นอิสระ แล้วก็มองและปฏิบัติต่อสิ่งที่เคยสัมพันธ์เกี่ยวข้องในความหมายใหม่ ให้กลายเป็นสื่อแสดงของธรรมดังที่กล่าวมานั้น
เพราะฉะนั้น เราจะต้องพัฒนาชีวิตของเราโดยทำให้เป็นอิสระมากยิ่งขึ้น เราจะอาศัยอามิสวัตถุทั้งหลายอย่างรู้เท่าทัน เราจะใช้มันตามคุณค่าที่แท้จริงให้เป็นประโยชน์แก่ชีวิต เราจะเอามันมาเป็นเครื่องมือพัฒนาตัวเองด้วย และเอามาใช้สร้างสรรค์ประโยชน์สุขแก่ผู้อื่นด้วย อามิสวัตถุก็กลับกลายเป็นดีไป เพราะฉะนั้นคติของพระพุทธเจ้านี้จะทำให้โลกร่มเย็นเป็นสุข ถ้าเรารู้เข้าใจความจริงแม้เพียงแค่นี้ก็จะเป็นประโยชน์อย่างยิ่ง