ถาม เหตุการณ์ในพระพุทธศาสนาปัจจุบันนี้ ควรที่ทางรัฐจะได้เข้ามาชำระล้างหรือยัง
ตอบ เห็นจะไม่ต้องใช้คำว่าชำระล้าง มันจะแรงไป อาจจะเข้ามากำจัดสิ่งเสียหายก็ได้ ความหมายอย่างเดียวกันนั่นเอง ว่าที่จริงแล้ว มันควรจะเป็นเรื่องของการป้องกันมากกว่า เรื่องที่เกิดขึ้นกับสมัยปัจจุบันนี้ ถ้าได้กระทำให้ถูก ก็น่าจะเป็นไปในรูปที่ว่า ได้ช่วยกันป้องกันมาแต่ต้น แต่ในเมื่อมันเกิดเหตุอย่างนี้ขึ้นมาแล้ว จะแก้ไขกำจัดกันอย่างไร ก็ต้องดูเหตุตั้งแต่ต้นว่า ทำไมเราจึงป้องกันไม่ได้
ถ้าหากว่าผู้ที่ปฏิบัติการในการชำระล้างนี้ ก็คือคนพวกเดียวกันกับผู้ที่ป้องกันไม่ได้ หรือไม่รู้จักป้องกัน เวลาจะมาชำระล้างก็อาจจะประสบปัญหาอย่างเดียวกันอีก คือชำระล้างแก้ไขไม่ได้ เพราะตอนแรกไม่มีความรู้ความเข้าใจที่จะป้องกันไว้ ตอนนี้ก็เกิดว่าไม่มีความรู้ความเข้าใจที่จะแก้ไข แต่ข้อนี้ก็อาจจะแก้ไขได้ที่ผู้ปกครองเอง คือตอนโน้นไม่มีความรู้ความเข้าใจที่จะป้องกัน มาถึงตอนนี้ก็เรียนรู้เพื่อที่จะได้แก้ไข เพราะฉะนั้น สิ่งสำคัญก็คือ ทางฝ่ายรัฐจะต้องเรียนรู้ ต้องสร้างความรู้ความเข้าใจที่ถูกต้อง
อย่างไรก็ตาม เราจะต้องยอมรับความเป็นจริงอย่างหนึ่ง คือมีเรื่องน่าเห็นใจอยู่ว่า ผู้บริหารในสมัยปัจจุบัน ไม่ใช่เฉพาะตัวระดับผู้ปกครองแท้ๆ เท่านั้น คือแทบทุกระดับในกิจการของรัฐ มันเป็นไปตามธรรมดาของเหตุปัจจัย คือเราได้รับการศึกษามาแบบตะวันตก และห่างเหินจากวัฒนธรรมดั้งเดิมมานาน ก็ไม่ค่อยมีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับเรื่องทางพระศาสนา ตลอดจนกระทั่งวัฒนธรรมของตนเอง
ในตอนนี้ก็เพียงว่าเรายอมรับความจริงอันนี้ ไม่ใช่เป็นเรื่องที่น่าอาย น่าเสียอะไร ยอมรับความจริงและก็ศึกษาให้รู้ให้เข้าใจให้ถูกต้องและให้เพียงพอ ในเมื่อเป็นสิ่งสำคัญเราก็จะต้องศึกษา เมื่อศึกษาให้เข้าใจดีแล้ว ก็คงจะช่วยกันแก้ไขให้เสร็จสิ้นไปได้ ถ้าหากว่าไม่ทันการ ก็ต้องหาบุคคลที่มีความรู้ความเข้าใจมาให้กำลัง
เป็นอันว่า คำถามข้อนี้ จะตอบได้ว่า สภาพของพระพุทธศาสนาขณะนี้ ถึงเวลาแล้วที่รัฐจะต้องชำระล้าง สิ่งที่ต้องชำระล้างโดยรีบด่วนก่อนอะไรก็คือ ความไม่รู้ ความไม่เข้าใจ และไม่ต้องไปชำระล้างที่อื่นที่ไหน ชำระล้างที่ตัวเองก่อน เริ่มตั้งแต่รัฐเอง หรือผู้ที่รับผิดชอบกิจการของบ้านเมืองนี่แหละ ตลอดทุกระดับทีเดียว โดยเฉพาะคนรุ่นใหม่ที่จะมาเป็นผู้บริหาร หรือมารับผิดชอบงานต่างๆ ต่อไป ด้วยการให้การศึกษาที่ถูกต้อง รวมทั้งพระสงฆ์ที่รับผิดชอบต่อพระศาสนา และต่อการนำธรรมมาเข้าถึงประชาชนด้วย ที่ว่านี้เป็นเรื่องที่เรามายอมรับความจริงกัน เป็นเรื่องของการเข้าใจกันด้วยความเห็นอกเห็นใจ มิใช่จะมากล่าวหาต่อว่ากัน เป็นการมุ่งประโยชน์ส่วนรวม ช่วยกันค้นหาสมุฏฐานให้พบ จะได้แก้ไขให้ได้ผล
สมัยก่อน นอกจากเรื่องศาสนาเองแล้ว ไม่ว่าจะเป็นวิชาการอะไร อย่างที่เดี๋ยวนี้เรียกกันว่า ภูมิศาสตร์ ประวัติศาสตร์ คณิตศาสตร์ เป็นต้น พระสงฆ์เป็นผู้รู้นำหน้าทั้งนั้น ท่านบรรยายเรื่องจักรวาล โลกสัณฐาน เขาหิมพานต์ พระสุเมรุ ทะเลสีทันดร สิงห์เสือ สรรพสัตว์ ตลอดจนวิธีคิดคำนวณเลขต่างๆ ไว้ในคัมภีร์มากมาย ส่วนทางฝ่ายคฤหัสถ์หรือชาวบ้านคนไหนไม่รู้ถ้อยคำทางศาสนา ไม่เข้าใจข้อธรรมพื้นๆ ไม่รู้จักตัวละครสำคัญๆ ในวรรณคดีพุทธศาสนา ก็ต้องนับว่าเป็นคนล้าหลังหรือเถื่อนเสียเป็นอย่างยิ่ง
แต่สมัยนี้กลับตรงกันข้าม ถ้าพระสงฆ์ท่านใดไม่รู้เรื่องราวสมัยปัจจุบัน ไม่เข้าใจเหตุการณ์ พูดถึงศัพท์วิชาการสมัยนี้ไม่เข้าใจ แสดงความไม่รู้ออกมา ก็ดูน่ารักดี ส่วนคฤหัสถ์ผู้ บริหารนักวิชาการท่านใดพูดถึงถ้อยคำทางพระพุทธศาสนาผิดๆ ถูกๆ ก็เห็นเป็นโก้ดี
ย้อนหลังไป ๑๐๐ ปี ซึ่งความรู้และความเจริญในโลกนี้ยังไม่ถึงขนาดปัจจุบันนี้ สมัยนั้นผู้นำของสถาบันสงฆ์ คือ สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาวชิรญาณวโรรส ทรงเป็นผู้รอบรู้เท่าทันทั้งด้านพระศาสนาและวิทยาการกิจการแห่งโลกในยุคสมัยนั้น จึงทรงดำเนินกิจการพระศาสนา แก้ปัญหาต่างๆ นำคณะสงฆ์ให้เจริญมั่นคงต่อมาได้ดี ไม่ต้องพูดถึงองค์พระประมุข ซึ่งทรงรอบรู้ทั้งการพระศาสนาและกิจการบ้านเมืองอย่างดีเยี่ยม ปัจจุบันนี้ ในเมื่อพระศาสนาตกอยู่ท่ามกลางวิทยาการ และสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงก้าวหน้าต่อมาอีกมากมาย ผู้บริหาร ผู้รับผิดชอบงานพระศาสนาและกิจการบ้านเมือง ควรจะต้องมีความรู้เท่าทันสถานการณ์และวิทยาการต่างๆ มากขึ้นอีกให้สมส่วนกัน
ผู้รับผิดชอบการพระศาสนา หรือกิจการบ้านเมือง ไม่ว่าจะเป็นผู้นำ ผู้บริหาร นักวิชาการ หรือมีฐานะใดๆ ก็ตาม จะต้องเป็นผู้เข้าถึงพื้นฐานของไทย และต้องไล่ทันความคิดและสถานการณ์ร่วมสมัย จึงจะทำหน้าที่ให้เป็นผลดีได้ ถ้าไม่เข้าให้ถึงพื้นฐานของไทย ไล่ไม่ทันความคิดและสภาพปัญหาปัจจุบันแล้ว ก็แทบไม่มีหวังเลยว่า จะสามารถแก้ปัญหาหรือสามารถนำกิจการส่วนรวมให้ดำเนินไปได้ด้วยดี
คำว่าพื้นฐานของไทย ย่อมรวมถึงศาสนาและวัฒนธรรมเป็นส่วนสำคัญ ส่วนความคิดและสถานการณ์ร่วมสมัย กินความกว้างออกไปถึงแม้แต่ความคิดของฝรั่งและสถานการณ์ของโลก เท่าที่เป็นสภาพแวดล้อมซึ่งเข้ามาเกี่ยวข้อง
ปัญหาสำคัญในวงการศาสนาปัจจุบันก็เกิดจากข้อบกพร่องนี้ จะเห็นว่า แม้แต่บุคคลที่ไม่มีความรู้ความเข้าใจหลักพระศาสนา กล้าเดากล้าพูด อธิบายไปตามสบาย นำเอาข้อปฏิบัติที่ถูกต้องดีงามไปถืออย่างผิดๆ เมื่อตั้งใจปฏิบัติ ทำให้คร่ำเครียดจริงจัง แม้ว่าจะงมงาย ก็สามารถชักจูงคน จำนวนไม่น้อย แม้แต่ที่เรียกกันว่ามีการศึกษาดีให้ไปเข้าพวกถือตามได้ และสามารถก่อให้เกิดความหวั่นไหวไม่น้อยแก่คณะสงฆ์
เมื่อพิจารณาคนที่เรียกว่ามีการศึกษาจำนวนมากในปัจจุบัน ก็อาจเห็นได้ว่า เพราะการที่ไม่ได้รับการศึกษาชนิดที่ช่วยให้เข้าถึงพื้นฐานไทยนั่นเอง พวกหนึ่งก็ก้าวไปอยู่ในฐานะผู้รับผิดชอบกิจการบ้านเมืองชนิดที่ไม่สามารถเข้าใจ ไม่อาจแก้ไขปัญหาสังคมทางศาสนาเช่นนี้ได้ บางพวกก็เจริญก้าวหน้า ไปเข้าสังกัดในลัทธิที่แม้เขาจะปรับปรุงพระพุทธศาสนาให้คลาดเคลื่อนไปจากหลักการที่แท้จริง ก็ยังหลงไปตาม
ส่วนผู้รับผิดชอบฝ่ายสถาบันพระศาสนา ก็ไม่ได้รับการศึกษาชนิดที่จะช่วยให้คนมีการศึกษาเหล่านั้นรับฟัง ทั้งนี้ไม่ต้องพูดถึงสภาพของคณะสงฆ์เองที่ปล่อยล้ามานาน จนบนหลังของตนกลายเป็นที่ทำนาอย่างชุ่มแฉะของสำนักหรือลัทธิต่างๆ
ถ้าผู้รับผิดชอบการพระศาสนาและกิจการบ้านเมือง ได้มีการศึกษา และดำเนินการศึกษาชนิดที่เข้าให้ถึงพื้นฐานของไทย ไล่ให้ทันความคิดและสถานการณ์แห่งยุคสมัยแล้ว ไหนเลยสภาพปัญหาเช่นนี้จะเกิดขึ้นได้
ความจริง สภาพเช่นนี้ฟ้องว่า การชำระล้างอย่างเดียวไม่พอ จะต้องมีการปรับปรุงด้วย และการปรับปรุงสำคัญยิ่งกว่าด้วยซ้ำ สภาพปัญหาสุกงอมเต็มที่เหมือนจะเร้าคณะสงฆ์อยู่ ให้เร่งมองออกไปรอบตัว และรีบปรับปรุงกิจการของตน แต่อีกด้านหนึ่ง มองดูเหมือนน่าสงสารพระศาสนาว่า ในคราวที่ต้องการการปรับปรุงนี้ ก็มีผู้ตั้งตัวขึ้นมาปรับปรุงแต่กลับทำเลยเถิดผิดไปเสียอีกทางหนึ่ง จนกลายเป็นจะต้องมีการปรับปรุง ๒ ชั้น ทั้งปรับปรุงแก้สภาพเสื่อมโทรม ทั้งต้องปรับปรุงการปรับปรุงที่ผิดด้วย
ดังนั้น ก่อนจะถึงคำถามว่า ถึงเวลาหรือยังที่ทางรัฐจะเข้ามาชำระล้างในพระศาสนา ก็มีคำถามข้อหนึ่งแทรกเข้ามาว่า ผู้ที่จะทำงานชำระล้างนั้น มีความพร้อมที่จะทำหน้าที่หรือยัง ถ้าไม่พร้อม นอกจากอาจแก้ปัญหาไม่สำเร็จ หรือยิ่งทำให้เกิดความเสียหายมากขึ้นแล้ว ถึงจะแก้ปัญหาเฉพาะคราวนั้นสำเร็จ ก็จะต้องประสบปัญหาอื่นๆ ที่ยุ่งยากอีกเรื่อยไป จนในที่สุดก็จะแก้ไม่ไหว