ชีวิตกับการทำงาน

สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ (ป. อ. ปยุตฺโต)

การทำงานคือการพัฒนาตน

รวมความก็คือ คนเรานี้สามารถมีศรัทธาได้ในระดับต่างๆ มากมาย แต่ศรัทธาที่ควรยืนพื้นเป็นฐานก็คือศรัทธาอันนี้ ได้แก่ ความเชื่อความมั่นใจ ในหลักการของการมองดู รู้เข้าใจโลกและชีวิตนี้ตามความเป็นจริง มองสิ่งทั้งหลายตามที่มันเป็น เห็นว่าทุกอย่างในชีวิตนี้จะดีงามสูงสุดก็อยู่ที่เพียงว่าเราเข้าใจความจริงของสิ่งทั้งหลาย ปฏิบัติต่อมันให้ถูกต้อง วางใจต่อมันให้ถูกต้องและฝึกตนพัฒนาตัวเราขึ้นไปให้รู้เข้าใจ ตระหนักในความจริงนี้อยู่เสมอ ถ้าถึงแค่นี้แล้ว จิตใจของเราก็สามารถมีความสุขได้ ทีนี้ถ้าเราจะทำงาน เราก็ทำงานไม่ใช่เพียงเพื่อหาเงินหาทองซึ่งเป็นเรื่องขั้นต้น แต่งานการนี้จะมีความหมายมากขึ้น นอกจากศรัทธาในการงานที่ทำให้ชีวิตของเรามีคุณค่ามีความหมาย และงานนั้นมีประโยชน์แล้ว เรายังมองเห็นงานทุกอย่างมีความหมายขึ้นมาอีกอย่างหนึ่งคือ เป็นเครื่องฝึกตน เป็นการปฏิบัติในทางที่จะให้มองเห็นสิ่งทั้งหลายตามที่มันเป็น มองตามที่มันเป็นในแต่ละขณะๆ จะทำอะไรก็เข้าใจตามที่มันเป็นอย่างนั้น และทำให้มันถูกต้อง ให้มันดียิ่งขึ้น โดยที่ตัวเราเองก็พัฒนาศักยภาพของตัวเราเองให้สมบูรณ์ยิ่งขึ้นไปเรื่อยๆ ถ้าเรารู้สึกว่าเราทำสิ่งหนึ่งอยู่และทำถูกต้องตามวิถีทางของมันแล้ว เราก็สบายใจว่า เรากำลังทำสิ่งที่เป็นธรรม และขณะนั้นเราก็กำลังฝึกตนเองให้พัฒนาอยู่เสมอ เพราะฉะนั้น การงานต่างๆ จึงเป็นเครื่องมือในการพัฒนาตนเอง ไม่ว่างานนั้นจะมีคุณค่าเป็นประโยชน์ถูกต้องตามวิถีชีวิตที่เราต้องการหรือไม่ก็ตาม แต่ก็เป็นเครื่องฝึกตัวเองเสมอ ฝึกใจฝึกกายของตัวเอง

เป็นอันว่า การมองงานก็มีได้หลายอย่าง ตามที่ว่ามาแล้ว ในระดับที่หยาบที่สุดก็คือ มองว่างานเป็นเครื่องมือหาเลี้ยงชีพทำให้ได้เงินได้ทอง อันนี้เป็นขั้นที่ ๑ เป็นวัตถุมากเกินไป ขั้นที่ ๒ ก็มองว่า งานเป็นเครื่องทำให้กิจการดำเนินไป ทำให้โลกนี้เป็นไปได้ ความเจริญ ความก้าวหน้าในสังคมจะดำเนินไปได้ก็เพราะคนทำงานกัน ขั้นที่ ๓ มองลึกเข้าไปอีกก็คือ มองว่า งานนั้นมีคุณค่ามีความหมาย มีประโยชน์ต่อเพื่อนมนุษย์ ทำให้เพื่อนมนุษย์มีความสุขอย่างใดอย่างหนึ่ง ขั้นที่ ๔ มองลึกยิ่งขึ้นไปอีกว่า งานนี้มีความหมายต่อชีวิตจิตใจของเรา ถูกต้องกับชีวิตที่เราเห็นว่าดีงาม มีคุณค่าเป็นประโยชน์ ทำให้ชีวิตของเรามีคุณค่าขึ้น ต่อมา ถึงขั้นที่ ๕ นี้ ก็มองว่า งานเป็นเครื่องฝึกตัวเรา เป็นเครื่องพัฒนาตนเอง และเป็นเครื่องสะสมการพัฒนาตัวเองนี้ขึ้นไปเรื่อยๆ เพราะฉะนั้น ผู้ที่ทำงานโดยมีศรัทธาอย่างนี้ ไม่ว่าจะเห็นว่า ตัวเองได้ผลประโยชน์ตอบแทนหรือไม่ แค่ไหนเพียงไหนก็ตาม แต่ถ้าจิตใจขั้นลึกซึ้งในเวลาทำงานแต่ละขณะมีความรู้สึกว่าเรากำลังพัฒนาตัวเราเอง กำลังฝึกฝนตนเองให้ดีขึ้น ก็จะทำให้รู้สึกว่างานนั้นเป็นสิ่งที่น่าทำเสมอ ทุกขณะทุกเวลา ไม่เบื่อหน่ายกลัดกลุ้ม นอกเหนือจากนั้นก็คือ การที่รู้สึกว่าได้ทำในสิ่งที่เป็นธรรม สิ่งที่ถูกต้อง ทำจิตใจมองสิ่งที่ทำนั้นให้เห็นตามความเป็นจริงว่าทำอะไรอยู่ แล้วก็ทำสิ่งนั้นให้มันสำเร็จไปตามวิถีทางของมัน แค่นี้ก็สบายใจในการทำงานได้

คนเราบางทีก็มีความคาดหวังต่างๆ กับสิ่งที่กระทำ และเมื่อเห็นว่าจะไม่สำเร็จตามความหวัง ก็ทำให้เกิดความผิดหวัง เกิดความทุกข์ เกิดความท้อถอยหมดกำลังใจ แล้วก็จะต้องมีวิธีแก้ไขในระดับต่างๆ แต่ถ้าทำใจให้ถูกต้องอย่างนี้ ก็สามารถทำการทำงานทุกอย่างให้ดำเนินไปได้ด้วยดี ถ้าเข้าใจในเรื่องงานแล้วทำใจให้ได้ในทุกระดับที่ว่ามา คุณค่าของงานก็จะเกิดในทุกระดับ ตั้งต้นแต่เป็นการพัฒนาตนเองในทุกขณะที่ทำงานนั้น ไปจนกระทั่งภายนอก เป็นเครื่องมือหาเลี้ยงชีพได้เงินได้ทอง ทั้งหมดนี้ก็สุดแต่ว่าจะทำใจได้แค่ไหนเพียงไร

เนื้อหาในเว็บไซต์นอกเหนือจากไฟล์หนังสือและไฟล์เสียงธรรมบรรยาย เป็นข้อมูลที่รวบรวมขึ้นใหม่เพื่อช่วยในการศึกษาค้นคว้าของผู้สนใจ โดยมิได้ผ่านการตรวจทานจากสมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์
ผู้ใช้พึงตรวจสอบกับตัวเล่มหนังสือหรือเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง