พระพุทธเจ้าตรัสว่า อุปฺปาทา วา ภิกฺขเว ตถาคตานํ อนุปฺปาทา วา ตถาคตานํ ฐิตาว สา ธาตุ ตถาคตทั้งหลายจะอุบัติขึ้นหรือไม่อุบัติขึ้นก็ตาม ความจริงมันก็เป็นหลักตายตัว ตั้งอยู่โดยธรรมดาตามธรรมชาติ ว่าอย่างนั้นๆ ตถาคตเพียงแต่ได้ค้นพบหลักความจริงอันนั้น แล้วนำมาเปิดเผย แสดง ชี้แจง ทำให้เข้าใจง่าย
พุทธพจน์นี้มีหมายความว่า สัจจธรรมความจริงมีอยู่ตามธรรมดา พระพุทธเจ้าเองมีฐานะเป็นผู้มาค้นพบความจริงนั้น แล้วพระองค์ก็มาบอกกล่าวแก่ผู้อื่น คนอื่นก็มีความสามารถจะเข้าถึงความจริงนั้นเช่นเดียวกัน เราทุกคนมีความสามารถนี้อยู่ ที่จะเข้าถึงความจริงนี้ได้ เช่นเดียวกับพระพุทธเจ้า แต่ต้องอาศัยคำบอกกล่าวชี้แจงอธิบายของท่าน เพราะฉะนั้นเราจะต้องไม่ดูถูกความสามารถของตนเอง คนที่หวังจะพึ่งคนอื่น หวังอำนาจดลบันดาล หวังอำนาจความศักดิ์สิทธิ์มาช่วยดลบันดาลนั้น เป็นคนดูถูกความสามารถของตน ไม่พัฒนาตัวเอง เราจะต้องสำนึกถึงศักยภาพของตนเอง
พระพุทธเจ้าที่เราระลึกถึงนั้น เพื่ออะไร ประโยชน์ที่สำคัญก็คือ เป็นเครื่องเตือนใจว่าพระองค์เป็นตัวแบบ หรือเป็นแบบอย่างให้แก่เรา เตือนใจเราให้ระลึกถึงศักยภาพของมนุษย์ว่า คนเราทุกคนนี้ มีความสามารถที่จะพัฒนาตนได้ จนกระทั่งเป็นมนุษย์ที่ประเสริฐสุด แม้แต่เทวดาที่มนุษย์ชอบไปไหว้ไปวอน ก็ยังมากราบไหว้มนุษย์ที่ประเสริฐอย่างนี้ พระพุทธเจ้าของเรานั้น แต่เดิมพระองค์ก็เป็นมนุษย์ธรรมดา แต่พระองค์พัฒนาพระองค์เองจนกระทั่งเป็นพระพุทธเจ้า เป็นบุคคลที่สูงสุด เป็นบุคคลที่ควรเคารพบูชา เป็นบุคคลที่สมบูรณ์ได้ ข้อนี้เป็นเครื่องเตือนใจ ทำให้เราเกิดกำลังใจว่า เราก็เป็นมนุษย์ที่สามารถพัฒนาตนได้อย่างนั้น
ประการที่ ๒ นอกจากให้เกิดกำลังใจแล้ว ก็เตือนใจให้ระลึกถึงหน้าที่ด้วยว่า ในเมื่อเป็นมนุษย์ก็มีหน้าที่ที่จะพัฒนาตน พัฒนาศักยภาพของตนเอง อันนี้เป็นหลักการที่สำคัญมาก ที่พุทธศาสนิกชนจะต้องเพียรพยายามนำมาประพฤติปฏิบัติ พระพุทธศาสนาจะสำเร็จประโยชน์ได้ก็ด้วยทำความเข้าใจให้ถูกต้องอย่างนี้
ผู้ที่ปฏิบัติตามหลักการของพระพุทธศาสนา พึงเข้าใจฐานะความสัมพันธ์ระหว่างตนเองกับพระพุทธเจ้าผู้เป็นพระบรมศาสดา และเข้าใจต่อมาตลอดจนถึงความสัมพันธ์ระหว่างตนเองกับกัลยาณมิตร ที่เป็นครูอาจารย์ทั้งหลาย ถ้าเรามองขอบเขตความสัมพันธ์นี้ให้ถูกต้องแล้ว ปฏิบัติให้เป็นไปตามนั้น ก็จะเกิดผลสำเร็จตามหลักที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้ว่า ในการที่พระองค์เป็นกัลยาณมิตรมาช่วยเหลือเรานั้น ขอบเขตของการช่วยเหลือก็คือ พระองค์มาทรงบอก ประทานหลักความจริง เปิดเผย ส่องประทีปให้เราหายมืด และบอกทางให้เรา แต่การที่จะทำผลสำเร็จให้เกิดขึ้นนั้น เราต้องปฏิบัติให้สอดคล้องกับหลักความจริงที่เป็นธรรมดาของสิ่งทั้งหลาย คือความเป็นไปตามเหตุปัจจัยนั้น ถ้าทำตามหลักนี้ เราก็เพียรทำหน้าที่ของเรา คือ ตุมฺเหหิ กิจฺจํ อาตปฺปํ ความเพียรเธอทั้งหลายจะต้องทำ ตถาคตทั้งหลาย เป็นเพียงผู้บอก นี้คือการปฏิบัติที่ถูกต้อง แล้วก็จะเข้าหลักที่กล่าวมาแล้ว คือการที่พึ่งตน ก็คือพึ่งธรรม