ประการแรก คือ ความมีกัลยาณมิตร พระพุทธเจ้าตรัสว่า ถ้าความมีกัลยาณมิตร เกิดขึ้นแก่ภิกษุ หรือเกิดขึ้นแก่ใครก็ตามแล้ว ก็หวังได้ว่าอริยมรรคจะเกิดขึ้นแก่ผู้นั้น ความมีกัลยาณมิตรนี้จึงถือว่าเป็นธรรมที่สำคัญมาก
ก่อนที่เราจะเข้าเดินในมรรค คือเข้าสู่ข้อปฏิบัติที่ถูกต้อง ที่จะนำไปสู่จุดหมายของพระพุทธศาสนาได้นั้น ตามปกติก็จะต้องมีสื่อที่ชักนำเข้ามา ความมีกัลยาณมิตรนี่แหละเป็นตัวนำที่สำคัญ เพราะว่า เมื่อมีกัลยาณมิตร มีผู้ที่ชี้แนะนำทางที่ถูกต้องแล้ว ก็จะทำให้บุคคลเริ่มรู้จัก เริ่มมีความเข้าใจหรือเห็นทางที่ถูกต้อง ตัวเห็นทางนั้น ก็คือ สัมมาทิฏฐิ ซึ่งจะทำให้เดินทางไปได้
ถ้าไม่มีกัลยาณมิตร ก็มองไม่เห็น ไม่รู้แม้กระทั่งว่าทางเดินอยู่ที่ไหน ก็เลยดำเนินชีวิตผิดพลาด เหมือนวนเวียนอยู่ในป่า หลงไปหลงมา บางทีตลอดชีวิตก็ไม่ได้เข้าสู่ทางที่ถูกต้อง
กัลยาณมิตรนั้นเหมือนกับเป็นผู้ที่รู้ทาง เพราะเคยเดินทางนั้นมาแล้ว หรืออย่างน้อยก็ได้เคยผ่านใกล้ได้ทราบได้รู้ว่าทางอยู่ตรงไหน ทำให้สามารถไปพูดไปชี้แนะและชักนำเข้ามาสู่ทางได้ กัลยาณมิตรนี้จึงสำคัญมาก
สำหรับเด็กๆ พ่อแม่เป็นกัลยาณมิตรที่หนึ่ง ถ้าพ่อแม่ทำตัวดี เป็นแบบอย่างที่ดี และรู้จักชี้แนะแนวทางที่ถูกต้อง เด็กก็จะเดินไปในวิถีชีวิตที่ดีงาม แต่ถ้าพ่อแม่ไม่รู้จักชี้แนะแนวทาง หรือทำตัวไม่ดี แทนที่จะเป็นกัลยาณมิตร ก็อาจจะกลายเป็นปาปมิตรไป แล้วก็จะทำให้เด็กมีความคิดความเห็น และประพฤติตัวเขวออกไปนอกลู่นอกทาง ดำเนินชีวิตที่ผิดพลาดเสียหาย
ต่อจากพ่อแม่ ก็ได้แก่ ครู อาจารย์ ซึ่งก็ถือเป็นกัลยาณมิตรที่สำคัญมาก
ต่อจากครูอาจารย์ก็คือผู้ใหญ่ทั่วๆ ไป
พระสงฆ์ก็มีหน้าที่สำคัญที่จะต้องทำตนให้เป็นกัลยาณมิตรของญาติโยม ของประชาชน คอยชี้แนะแนวทางที่ถูกต้อง ให้รู้จักธรรม ให้ดำเนินชีวิตตามธรรม ให้ปฏิบัติต่อกันตามธรรม และให้อยู่ในโลกอย่างมีธรรม
ถ้าพระสงฆ์ไม่ทำหน้าที่เป็นกัลยาณมิตร เช่น มุ่งหาผลประโยชน์ เห็นแก่ลาภสักการะ ก็อาจจะชักจูงญาติโยมให้หลงผิด ไขว้เขวออกนอกพระพุทธศาสนาไปเลย ทำให้ลุ่มหลงไปกันใหญ่ แทนที่จะเดินไปสู่ทางที่พระพุทธเจ้าทรงชี้นำไว้ ก็จะกลับออกไปนอกลู่นอกทาง นอกพระพุทธศาสนา จนอาจจะกลายเป็นศาสนาอื่นไปก็ได้ ในปัจจุบันพระก็ยังสำคัญมาก เพราะมีบทบาทมากกว่าใครอื่น ที่จะนำพุทธศาสนิกชนเข้าสู่มรรค หรือจะนำออกนอกมรรคไป
แม้ตลอดจนองค์พระพุทธเจ้าเอง ก็ทรงเป็นกัลยาณมิตรด้วย พระพุทธเจ้าก็คือแบบอย่างหรือยอดสุดของกัลยาณมิตรนั่นเอง พระองค์ได้ตรัสไว้เองว่า เราเป็นกัลยาณมิตรของสัตว์ทั้งหลาย คือเป็นผู้ที่ช่วยชักนำสรรพสัตว์ให้ออกไปจากทุกข์ภัยในสังสารวัฏ ด้วยการสั่งสอนให้เดินไปในทางของอริยมรรค
คนทั่วไปจะต้องอาศัยกัลยาณมิตรเป็นจุดเริ่มต้น ที่จะชักนำเข้าสู่ทางชีวิต ให้เลือกหรือให้เบนวิถีชีวิตไปในทางใดทางหนึ่ง เริ่มจากพ่อแม่ ต่อด้วยครูอาจารย์ หรือคนที่นิยมเอาเป็นตัวอย่างในหนังในทีวีเป็นต้น ตั้งแต่เป็นเด็ก ตลอดจนเพื่อนเล่น เพื่อนเรียน เพื่อนเที่ยว เพื่อนกิน เพื่อนนอนทั้งหลาย
คนจำนวนมากก็อย่างที่เห็นกันอยู่ทั่วไป ถ้าไม่มีกัลยาณมิตร หรือได้ปาปมิตรคือเพื่อนชั่วร้ายละก็ อาจจะเดินไปในทางที่ผิดพลาดเสียหาย เสียคน เสียอนาคตไปเลย แต่ถ้าได้กัลยาณมิตร ก็จะมีชีวิตที่ดีงาม อาจกลายเป็นชีวิตที่มีคุณค่ายิ่งใหญ่ในอารยธรรมของโลกก็ได้ ดังนั้น ความมีกัลยาณมิตรจึงเป็นหลักธรรมสำคัญข้อแรก เป็นเหมือนแสงเงินแสงทอง ซึ่งเมื่อฉายขึ้นมาแล้ว ก็จะทำให้บุคคลได้เริ่มเห็นทางที่จะเดินอย่างถูกต้อง เมื่อแสงเงินแสงทองปรากฏแล้ว พระอาทิตย์ก็ขึ้นมา นั่นก็คือการที่ว่าอริยมรรคได้เกิดขึ้น