ผู้สัมภาษณ์ : ดิฉันขอกราบนมัสการโยงกลับไปที่ประเด็นที่น่าสนใจ ตามที่ท่านเจ้าคุณระบุว่าผู้รับผิดชอบโดยตรงในเรื่องนี้ ควรจะแก้ไขปัญหา จึงขอกราบนมัสการถามว่า ฝ่ายที่มีความรับผิดชอบโดยตรง ที่จะแก้ปัญหานี้ได้ผลไหมเจ้าคะ จากการเขียนกรณีสันติอโศกของท่านเจ้าคุณ กระตุ้นให้เกิดการตอบรับในการรีบแก้ไขปัญหาได้หรือไม่เจ้าคะ
พระเทพเวที : ก็ไม่เห็นอะไรเกิดขึ้น อะไรๆ ก็เดินไปอย่างเก่า เราก็ยังพูดปรารภกันอยู่เรื่อยจนบัดนี้ว่า ทำไมมหาเถรสมาคมจึงนิ่งเฉย ไม่ทำอะไร ปล่อยให้เรื่องราวเป็นอย่างนี้ ประชาชนก็ไม่รู้จะฟังใคร ไม่รู้ว่าปัญหานี้ที่จริงเป็นอย่างไร อะไรจะเกิดขึ้น ปรับใจไม่ถูก
ผู้สัมภาษณ์ : เมื่อพิจารณาโดยโยงกับเรื่องเมื่อกี้ที่ท่านเจ้าคุณกรุณาเล่าให้ฟัง ก็ทำให้มองเห็นว่า ตอนนี้กลับเป็นว่า เมื่อหนังสือกรณีสันติอโศกออกไป และข้อเขียนของท่านเจ้าคุณเขียนโดยลักษณะที่มีการอ้างอิงเป็นเหตุเป็นผล และเผยแพร่ออกไปในวงกว้าง ก็เลยกลายเป็นว่าฝ่ายสันติอโศกมีเป้ามุ่งมาที่ท่านเจ้าคุณ และมหาเถรสมาคม แทนที่จะมุ่งแก้ไขปัญหาต่างๆ ทางด้านคณะสงฆ์ และรีบแก้ไขเรื่องสำนักสันติอโศก กลับมุ่งประเด็นในการแก้ไข โดยเอางานเขียนกรณีสันติอโศกของท่านเจ้าคุณเป็นประเด็นในการตอบโต้กับสำนักนั้น ระยะหลังเมื่อเป็นเช่นนี้ ก็เป็นการผิดไปจากประเด็นที่ท่านเจ้าคุณต้องการให้มีการแก้ไขปัญหาอย่างถูกต้อง เมื่อผิดประเด็นอย่างนี้แล้ว และสื่อมวลชนเองก็ไม่ได้จับประเด็นให้ถูก มันก็ส่งผลให้เกิดเหตุการณ์เหมือนกับว่า สถาบันสงฆ์ตอนนี้เกิดการแตกแยกกันขึ้น ท่านเจ้าคุณคิดว่าหลังจากนี้แล้ว ท่านเจ้าคุณจะสละเวลาเพื่อที่จะดำเนินเรื่องนี้ต่อไปอย่างไร เพื่อให้เกิดความถูกต้องเจ้าค่ะ ซึ่งจะเป็นผลต่อความมั่นคงของพระพุทธศาสนาด้วย
พระเทพเวที : อาตมาไม่เห็นว่ามีอะไรแปลกไปเลย ที่ว่าคณะสงฆ์จะแตกแยกหรืออะไรนั้น ไม่เห็นอะไรเกิดขึ้น มหาเถรสมาคมก็อยู่อย่างนั้น เป็นอย่างเดิม เหมือนอย่างที่เราว่า คือไปเรื่อยๆ จะทำอะไรก็ไม่ทำ ไม่มีอะไรแปลก ทีนี้ ในแง่ของอาตมาว่าจะทำอะไร สำหรับอาตมาเรื่องก็มีเพียงว่า เมื่อมีจดหมายมา ถ้ามีเวลาอาตมาก็จะตอบ แต่ช่วงนี้ยังไม่มีเวลา งานเต็มแน่นและมีงานเร่งเฉพาะหน้าอยู่ อาตมาไม่มีหน้าที่โดยตรง เราไม่ได้เป็นเจ้าหน้าที่ หน้าที่ที่ทำได้ก็คือ สร้างความเข้าใจแก่คน หนังสือกรณีสันติอโศกนี้มีวัตถุประสงค์ที่จะสร้างความเข้าใจที่ถูกต้องแก่ประชาชนเท่าที่จะทำได้ ซึ่งอาจจะรวมตลอดไปถึงแม้แต่ท่านโพธิรักษ์ด้วย และชักชวนให้หันมาพูดจากันให้ตรงประเด็น ตรงปัญหา แล้วก็พูดกันโดยวิธีของเหตุผลและข้อเท็จจริง เราทำได้แค่นี้ ถึงแม้จะถือว่าอาตมามีหน้าที่ในแง่ที่เป็นพระสงฆ์ ซึ่งต้องรับผิดชอบต่อพระศาสนา แต่เราไม่มีหน้าที่ในฝ่ายปฏิบัติการ จะไปดำเนินอะไรก็ยาก