ชวนคิด-พินิจธรรม

Somdet Phra Buddhaghosacariya (P. A. Payutto)

ชวนคิด

เทวพราหมณ์ เทวดาพุทธ

ขอเจริญพร ท่านอาจารย์ ท่านผู้ปฏิบัติงาน และนักศึกษา ผู้สนใจใฝ่ธรรมทุกท่าน

วันนี้ อาตมภาพได้รับนิมนต์มาพูด โดยตั้งหัวข้อว่า อินเดียในระหว่างและหลังพุทธกาล เรื่องนี้เกิดสืบเนื่องมาจากการที่อาตมภาพได้เดินทางไปประเทศอินเดีย เมื่อ ๒-๓ เดือนที่แล้วมา คุณหมอกาญจนาผู้ติดต่อนิมนต์ ก็เลยสนับสนุนให้พูดเกี่ยวกับประเทศอินเดีย เพราะเดินทางกลับมาใหม่ๆ อาตมภาพเองก็ได้ช่วยคิดชื่อให้เป็นว่า อินเดียระหว่างและหลังพุทธกาล

แต่เมื่อตั้งชื่อไปแล้ว ก็มานึกอีกทีว่า เรื่องนี้ที่จริงเป็นเรื่องของผู้เชี่ยวชาญ ต้องรู้เรื่องอินเดียมากทีเดียว และจะต้องมาเล่าประวัติศาสตร์กันยืดยาวนาน ไม่ใช่เรื่องที่จะพูดกันในระยะเวลาสั้นๆ อาตมภาพนั้นเพิ่งเคยไปอินเดียจริงๆ ครั้งเดียวเท่านั้นเอง เพราะฉะนั้น จะไปรู้เรื่องอินเดียเข้าถึงทุกสิ่งทุกอย่างเป็นไปไม่ได้ ก็ต้องทำใจกันไว้ก่อนว่า ที่มาพูดวันนี้นั้น เป็นการมาเล่าความคิดคำนึงแสดงความคิดเห็นบางอย่าง โดยที่ว่าไม่ต้องไปมุ่งเอาความจริงที่ลึกซึ้งทางประวัติศาสตร์อะไร มุ่งเอาแต่สิ่งที่เราจะนำมาใช้ให้เป็นประโยชน์

การที่อาตมภาพได้รับนิมนต์ไปอินเดียนั้น ก็เนื่องจากว่าโยมผู้หวังดีนิมนต์ให้ไปพักผ่อน แต่ในการไปพักผ่อนนี้ ก็ได้ไปนมัสการสังเวชนียสถาน พร้อมทั้งสถานที่สำคัญในทางพระพุทธศาสนาด้วย เมื่อได้ไปเช่นนี้แล้ว จะได้พักผ่อนหรือไม่ได้พักผ่อนก็ตาม ถือว่าได้ประโยชน์คุ้มค่าอยู่ในตัว

เสียงพูดถึงอินเดีย

เรื่องการไปประเทศอินเดียนี้ แม้ว่าอาตมภาพจะได้ไปเป็นครั้งแรก จะถือว่ารู้จักน้อยก็จริงในแง่ของการได้พบได้เห็น แต่ในแง่ของการสดับตรับฟังแล้วละก็ได้ยินมานาน มีท่านที่รู้จักเป็นพระบ้างเป็นคฤหัสถ์บ้าง โดยเฉพาะพระที่ท่านไปศึกษาเล่าเรียนอยู่ประเทศอินเดียนานๆ กลับมาแล้ว ท่านก็เล่าให้ฟัง

เพราะฉะนั้น ก็ได้ยินเรื่องประเทศอินเดียมาไม่น้อยเหมือนกัน โดยมากจะเป็นเสียงพูดในทางที่ไม่ค่อยดี เช่น เมื่อพูดถึงดินแดนประเทศอินเดีย ก็พูดถึงความแห้งแล้ง ความยากจน ความสกปรก ความไม่สะดวกสบายต่างๆ อาหารที่รับประทานได้ยาก ไม่ถูกปากคนไทย ถ้าพูดถึงผู้คน ก็ว่าคนอินเดียนั้น นอกจากจะยากจน แล้วก็ขี้เหนียว ใจแคบ อะไรต่างๆ ก็พูดถึงว่าแห้งแล้งทั้งแผ่นดิน แห้งแล้งทั้งน้ำใจ

อันนี้ก็เป็นเสียงที่ได้ยินมาก่อน ก็เลยเป็นอันว่าได้ยินในทางไม่ค่อยดีเกี่ยวกับประเทศอินเดียไว้มากทีเดียว บางท่านที่เป็นอาจารย์ผู้ใหญ่ที่นับถือ ได้ยินว่าอาตมภาพจะไปอินเดีย ท่านบอกว่า อินเดียไม่ใช่เป็นประเทศสำหรับไปพักผ่อน ถ้าหากจะไปดูไปศึกษาละก็ได้ เป็นประโยชน์ ตัวท่านเองเคยไปอินเดียมาแล้ว บอกว่าเป็นการเดินทางที่ลำบากยากแค้นที่สุดในชีวิต ก็ไม่มีความปรารถนาจะไปอีก นอกจากว่าเพื่อการศึกษา อันนี้ก็เป็นเรื่องที่ได้ยินเกี่ยวกับประเทศอินเดียมาก่อน

สังเวชไม่ใช่หดหู่ใจ

ก่อนที่จะพูดถึงเรื่องราวที่ตัวไปเห็น ว่าเป็นอย่างไร อยากจะขอแทรกสักนิดหนึ่ง ที่พูดเมื่อกี้ว่าเดินทางไปนี้ ก็ได้ไปนมัสการสังเวชนียสถาน สังเวชนียสถาน ก็เป็นที่สำคัญทางพระพุทธศาสนา แปลกันว่าสถานที่ตั้งแห่งความสังเวช ถ้าเป็นชาวพุทธไป ก็ต้องมุ่งไปที่สังเวชนียสถาน ซึ่งมีอยู่ ๔ แห่ง คือ สถานที่พระพุทธเจ้าประสูติ สถานที่พระองค์ตรัสรู้ สถานที่พระองค์ทรงแสดงปฐมเทศนา และสถานที่เสด็จดับขันธปรินิพพาน

ข้อที่อยากจะพูดแทรกในที่นี้ ก็คือความหมายของคำว่า สังเวช รู้สึกว่าเป็นเรื่องที่ต้องแก้ไขทำความเข้าใจให้ถูกต้อง คำว่า สังเวช ในภาษาไทย มักจะมองกันในแง่ของความสลดหดหู่ใจ หรือไม่ก็ห่อเหี่ยวไปเลย ซึ่งความหมายเดิมในบาลีไม่ใช่อย่างนั้น

สังเวชนี้ แปลว่ากระตุ้นเตือนหรือเร้าใจ หมายถึง กระตุ้นเตือนใจให้ได้คิดที่จะเลิกละความชั่ว หรือเลิกละความประมาท และเร้าใจให้เร่งทำความดีงาม ด้วยความไม่ประมาท

ความหมายของคำหลายคำในภาษาบาลี อาตมภาพว่าเดี๋ยวนี้มันตรงกันข้ามกับความหมายในภาษาไทย ต้องแก้กันใหม่ เช่นอย่างพระพุทธพจน์ที่ตรัสถึงเรื่อง สังเวชนียสถาน ๔ นั้น

ในพระไตรปิฎก ในมหาปรินิพพานสูตร พระพุทธเจ้าได้ตรัสถึงสังเวชนียสถาน ๔ โดยใช้คำควบว่าเป็นทัศนียสถานด้วยว่า ทสฺสนียานิ สํเวชนียานิ ฐานานิ สถานที่อันเป็นทัศนียะ เป็นสังเวชนียะ ๔ ทีนี้เราเอาเฉพาะคำหลัง ก็มีเหลืออยู่แต่สังเวชนียะ พระพุทธเจ้าตรัสโดยปรารภถึงว่า สมัยก่อนเมื่อพระองค์ทรงพระชนม์อยู่ พระภิกษุทั้งหลายเดินทางมาจากที่ไกลๆ มุ่งจะมาได้พบเห็นสนทนาปราศรัยกับพระภิกษุทั้งหลาย ผู้เป็นที่เจริญใจ (มโนภาวนีย) เพราะว่าเมื่อมาเฝ้าพระพุทธเจ้าแล้วก็มีสาวกผู้ใหญ่ ซึ่งเป็นผู้บริสุทธิ์ทรงคุณธรรมต่างๆ อยู่ด้วยมากมาย แต่เมื่อพระองค์เสด็จดับขันธ์ล่วงลับไปแล้ว ก็จะไม่ได้โอกาสเช่นนั้น ก็เลยให้มาดูสถานที่ทั้ง ๔ นี้

เมื่อมาดูแล้ว ก็อาจจะเกิดความรู้สึกได้หลายอย่าง ในแง่หนึ่ง ก็อาจจะรู้สึกปลง เห็นไตรลักษณ์ โดยเฉพาะความไม่เที่ยงว่า พระพุทธเจ้า พระวรกายของพระองค์ ก็ตกอยู่ในอำนาจของคติธรรมดา ต้องแตกสลายเสื่อมโทรมไป หรือจะมองในแง่ที่เกิดความรู้สึกปีติยินดีก็ให้เห็นว่า โอ... นี่สถานที่เป็นหลักฐานทางประวัติศาสตร์ แสดงว่าพระพุทธเจ้าของเรามีอยู่จริง พระองค์ได้เคยมาประทับในสถานที่นี้ เรามาถึงสถานที่พระองค์เคยประทับ เคยทรงใช้สอย เคยทรงเสด็จมา เราก็เกิดความเอิบอิ่มใจ ปลาบปลื้มปีติยินดีขึ้นมา แล้วก็มีกำลังใจในการที่จะประพฤติปฏิบัติดีงาม

ไม่ว่าจะนึกในแง่ไหนก็ตาม ถ้าทำให้เกิดความไม่ประมาท คิดขวนขวายจะทำความดีงามแล้ว ความรู้สึกเร้าใจเตือนใจอย่างนั้นท่านเรียกว่า ความสังเวช

ถ้าหากว่าเราประสบเรื่องความเกิด ความแก่ ความเจ็บ ความตาย เป็นต้นแล้ว มีความรู้สึกที่จะไม่ประมาท เร่งขวนขวายทำความดีงาม นั้นเรียกว่าเกิดความสังเวช

แต่ถ้าหากว่าเกิดความสลดหดหู่ใจ จะเป็นคุณธรรมได้อย่างไร มันไม่เป็นกุศลแล้ว สลดหดหู่ใจนั้นเป็นกิเลส เรียกว่า นิวรณ์ เป็นถีนมิทธะ ไม่ดีแน่ๆ เพราะฉะนั้น อาตมภาพเลยพูดแทรกขึ้นมา เรื่องความหมายของคำว่า สังเวช ขอผ่านไป

เห็นอินเดียแล้วหวนคิดถึงเมืองไทย

เมื่อเดินทางไป สังเกตดูในหมู่ท่านที่อยู่ในคณะเดินทางเอง สิ่งที่สะดุดความรู้สึกก็เป็นเรื่องของความแห้งแล้ง ทั้งของแผ่นดิน ทั้งบนฟ้า และทั้งบนใบหน้าคน หมายความว่า บนผืนแผ่นดินนั้นก็หาน้ำได้ยาก แห้งแล้ง ต้นไม้เขียวๆ ก็ไม่ค่อยจะมี ดูหน้าตาผู้คน ที่ผ่านไป ตั้งแต่เด็กจนถึงผู้ใหญ่ ก็แห้งไปหมด มีขอทานมากมายเต็มไปทั่ว นี่... เป็นสิ่งที่กระทบความรู้สึกในเบื้องแรก

ในแม่น้ำแทนที่จะมีน้ำก็มีแต่ทราย เช่นแม่น้ำเนรัญชรา ที่พระพุทธเจ้าไปประทับและได้ตรัสรู้อยู่บนริมฝั่งแม่น้ำนี้ บัดนี้ก็ไม่มีน้ำสักหยดเดียว มีแต่ทรายเต็มไปหมด บนภูเขาก็ไม่มีต้นไม้ หาต้นไม้ได้ยาก มีแต่หินแต่ทราย มีแต่ดินสีแดง อะไรพวกนี้

อาตมภาพผ่านไปในสถานที่เหล่านี้ จิตใจก็หวนนึกมาถึงเมืองไทยอยู่เสมอ มานึกถึงว่า เอ...ประเทศไทยของเรานี้กำลังเดินไปสู่ภาวะที่จะเป็นอย่างนั้นหรือไม่ เช่น มีการตัดไม้ทำลายป่า เป็นต้น ต่อไปเมืองไทยเราจะแห้งแล้งอย่างนั้น น้ำจะเหลือแต่ทราย ภูเขาจะเหลือแต่ดินแดงหรือเปล่า มีความรู้สึกเช่นนี้อยู่ตลอดเวลา

นี่ก็เป็นความรู้สึกที่ได้เกิดขึ้น เป็นสิ่งที่เรียกว่า ความรู้สึก เพราะฉะนั้น ก็ไม่ต้องพูดถึงเหตุผล ห้ามไม่ได้ ยังไม่ใช่เรื่องถูกเรื่องผิด เอาแค่ว่าไปเห็นแล้วก็รู้สึกอย่างนั้น ไม่ว่าใครที่ไปในคณะก็รู้สึกคล้ายๆ กันอย่างนี้ อย่างไรก็ตาม เรื่องความรู้สึกอย่างเดียวนี้ไม่พอ เราจะต้องพูดกันถึงเนื้อหาสาระและเหตุผลต่อไป

อินเดียปัจจุบันกับวันเก่าในอดีต

อาตมภาพอยากพูดสรุปโดยรวบรัด เพราะเวลาเรามีน้อย ถึงภาวะของประเทศอินเดียตามหัวข้อที่ตั้งไว้ว่า “อินเดียในระหว่างและหลังพุทธกาล” ถ้าพูดโดยย่อแล้วก็มี ๒ ฝ่าย คือ สิ่งที่ไม่เหมือนเดิม กับสิ่งที่เหมือนเดิม

เอาสิ่งที่ไม่เหมือนเดิมก่อน สิ่งที่ไม่เหมือนเดิม โดยสภาพธรรมชาติ ก็คล้ายกับที่ได้กล่าวมาเมื่อกี้ คือเรื่องต้นไม้ แม่น้ำ ธรรมชาติแวดล้อม ความอุดมสมบูรณ์ต่างๆ ที่เดี๋ยวนี้มันไม่เป็นอย่างนั้น

ถ้าเรามองย้อนไปในสมัยพุทธกาล โดยศึกษาจากคัมภีร์วรรณคดีพุทธศาสนาที่กล่าวถึงก็เข้าใจว่า จะต้องมีความอุดมสมบูรณ์ ถึงแม้จะไม่อุดมสมบูรณ์มากนัก แต่ก็ต้องดีกว่าสมัยนี้ เช่นอย่างกล่าวถึงสถานที่ที่พระพุทธเจ้าประสูติก็เป็นป่า คือ ป่าลุมพินี ดงไม้สาละ บัดนี้ มันไม่เป็นป่าแล้ว มันเป็นที่โล่ง อย่างแม่น้ำเนรัญชรา ที่พระพุทธเจ้าไปประทับทำความเพียร จนตรัสรู้นั้น ก็มีคำบรรยายไว้ในพระไตรปิฎกกล่าวถึงธรรมชาติที่สวยงาม ต้นไม้ที่ร่มรื่นเขียวขจี มีท่าน้ำมีแม่น้ำกระจ่างใสแจ๋ว เป็นที่รื่นรมย์ใจ พระพุทธเจ้าเสวยข้าวมธุปายาสแล้ว ก็ไปลอยถาดที่แม่น้ำเนรัญชรา แต่บัดนี้ แม่น้ำเนรัญชราก็มีแต่ทราย พระพุทธเจ้าจะไปลอยถาดอย่างไร โดยเฉพาะเดือน ๖ ไม่มีน้ำจะให้ลอยถาดแน่นอน

พูดถึงสภาพผู้คนที่มองเห็นโดยทั่วไป ก็คือสภาพความยากจนและความขาดการศึกษา มีคนไม่รู้หนังสือมากมาย ถ้าเรามองกลับไปดูสภาพในสมัยพุทธกาล พระพุทธเจ้าทรงตั้งคณะสงฆ์ ต่อมาก็มีภิกษุณีสงฆ์ ภิกษุณีสงฆ์ก็มีผู้ทรงความรู้ เป็นพระเถรีที่ทรงปัญญา เป็นอัครสาวิกา เป็นนักแสดงธรรมที่เก่งกาจ แม้แต่สาวิกาฝ่ายอุบาสิกาเป็นคฤหัสถ์ก็มีที่เป็นเอตทัคคะในทางพหูสูต เป็นผู้คงแก่เรียน แสดงว่าในสมัยพุทธกาล อย่างน้อยพุทธศาสนาก็ทำให้คนทั่วไป รวมทั้งสตรีได้รับการศึกษาขึ้นมาเป็นอันมาก

ครั้นมาถึงสมัยพระเจ้าอโศก ที่เป็นกษัตริย์นับถือพระพุทธศาสนา ฝรั่งเขียนหนังสือสันนิษฐานว่า สมัยนั้นมีการรู้หนังสือเป็นเปอร์เซ็นต์สูงเหลือเกิน แต่มาในสมัยปัจจุบัน อินเดียเสื่อมลงในด้านการศึกษา มีการศึกษาน้อย โดยเฉพาะก่อนที่จะปรับปรุงประเทศ ถึงแม้ตอนนี้จะปรับปรุงประเทศแล้ว ก็ยังไม่ก้าวหน้าไปมากมายนัก เพราะฉะนั้นในแง่นี้ก็จะถือว่าเป็นความไม่เหมือนกัน

อินเดียที่เหมือนเดิม

ต่อไป ด้านที่เหมือนเดิม ที่ว่าเหมือนเดิม ก็คือ มีมาแต่ก่อนพุทธกาลอย่างไร เดี๋ยวนี้ก็มีอย่างนั้น ว่าถึงในแง่เหมือนเดิมนี้ ไม่ใช่เป็นสิ่งที่ดีหรอก เป็นสิ่งที่พระพุทธเจ้าพยายามแก้ไข แต่มันก็ไม่หมดสิ้นไป เหลืออยู่จนกระทั่งปัจจุบันนี้ เช่น การบำเพ็ญตบะ ทราบว่าที่อินเดียนั้น คนก็ยังบำเพ็ญทุกรกิริยา มีความเชื่อเหล่านี้กันมาก นักบวชในลัทธิต่างๆ ก็ยังบำเพ็ญตบะกัน ยืนขาเดียวเหนี่ยวกิ่งไม้ นอนบนหนาม อดอาหาร ถอนผมทีละเส้นจนหมดศีรษะ ยืนกลางแดด อะไรต่างๆ เพื่อบรรลุโมกษะ ยังทำกันอยู่ โยคีในประเทศอินเดียก็ยังถือกันมาเป็นพันๆ ปี ไม่ได้ต่างออกไป

ถัดไปก็เรื่อง วรรณะ วรรณะเป็นเครื่องแบ่งคนออกเป็นชนชั้น มีกษัตริย์ มีพราหมณ์ มีแพศย์ มีศูทร เกิดมาอย่างไรก็ต้องอยู่ในภาวะ ในฐานะนั้นๆ ตลอดชาติ พระพุทธเจ้าอุบัติขึ้นมา ก็พยายามแก้ไข ให้ถือว่า คนเรานี้ จะสูงจะต่ำ มิใช่เพราะชาติกำเนิด แต่เป็นเพราะการกระทำความประพฤติ มีการตั้งคณะสงฆ์ ไม่ว่าใครจะมาจากวรรณะไหน เมื่อมาบวชแล้ว ก็เป็นสมณศากยบุตรเสมอกัน พยายามแก้ไขมา แต่ศาสนาเดิมเขาก็พยายามดำรงรักษาระบบนั้นไว้

ต่อมาภายหลังเมื่อพระพุทธศาสนาเสื่อมแล้ว ระบบวรรณะก็กลับยิ่งเข้มงวดกว่าเก่า กลับรุนแรงยิ่งขึ้น จนกระทั่งปัจจุบันนี้ แม้ว่าในทางกฎหมาย รัฐบาลอินเดียจะให้ถือว่าไม่มีชนชั้นวรรณะ แต่ในทางปฏิบัติก็ยังถือชั้นวรรณะอยู่ตามเดิมนั่นเอง เวลากี่พันปีมาแล้ว อินเดียก็ยังคงอยู่อย่างเดิมในเรื่องวรรณะ

อีกอย่างหนึ่ง คือ การบวงสรวงอ้อนวอนเทพเจ้า อินเดีย เป็นประเทศที่เต็มไปด้วยเทวดา มีเทพเจ้ามากมาย มีพระพรหม พระปชาบดี ต่อมามีพระศิวะ พระนารายณ์ เป็นเทพใหญ่ แตกแยกกันเป็นนิกายต่างๆ พวกหนึ่งถือพระศิวะ ก็เป็นนิกายไศวะ นับถือว่าพระศิวะยิ่งใหญ่ที่สุด อีกพวกหนึ่งนับถือพระวิษณุ ถือว่าพระนารายณ์ยิ่งใหญ่กว่าก็เป็นนิกายไวษณพหรือไวษณวะ เป็นต้น แล้วก็มีเทวดาต่างๆ เล็กน้อยลงไปมากมาย มีอิทธิฤทธิ์ปาฏิหาริย์เยอะแยะ เดี๋ยวนี้ก็ยังมีการบวงสรวงอ้อนวอนเทวดากันทั่วไป นี่ก็เหมือนเดิม

พุทธศาสนาในตู้โชว์ของอดีต

ทีนี้ สิ่งที่ไม่เหมือนเดิมชัดๆ ก็คือพระพุทธศาสนาเองนั่นแหละ เคยอยู่ในประเทศอินเดียเจริญรุ่งเรือง บัดนี้ก็สูญสิ้นไปจากประเทศอินเดียเสียแล้ว นี่แสดงว่าไม่เหมือนแน่ๆ แต่มีนักปราชญ์กล่าวว่า ถึงแม้พุทธศาสนาจะสูญสิ้นไปจากอินเดียแล้วก็ตาม (เดี๋ยวนี้อาจจะเริ่มกลับไปบ้างแล้ว นิดๆ หน่อยๆ) แต่อิทธิพลของพุทธศาสนา สิ่งที่พระพุทธศาสนาสอนไว้ก็หาได้สิ้นสูญไปไม่ กลับมีอิทธิพลต่อศาสนาในท้องถิ่นเดิม อย่างศาสนาฮินดูก็ต้องปรับปรุงตัว ต้องรับเอาคำสอนในพุทธศาสนาเข้าไป ที่เห็นชัดๆ ได้แก่ หลักอหิงสา

ศาสนาพราหมณ์ที่มาเป็นศาสนาฮินดูนั้น เดิมเป็นศาสนาแห่งการบูชายัญ ฆ่าสัตว์ ตลอดจนกระทั่งฆ่าคนบูชายัญ ทีนี้พระพุทธศาสนาเกิดขึ้นมา สั่งสอนเรื่องความเมตตา กรุณา ความช่วยเหลือกัน การงดเว้นจากการเบียดเบียน คำสอนเหล่านี้ ก็ทำให้ศาสนาพราหมณ์ต้องปรับปรุงตัวเอง กระทั่งภายหลังศาสนาฮินดูกลายเป็นศาสนาแห่งการไม่กินเนื้อสัตว์ไป คนแขกโดยทั่วๆ ไปเป็นชาวฮินดูไม่กินเนื้อสัตว์ อาจจะเป็นด้วยว่าต้องการแข่งกับพุทธศาสนาให้เห็นว่า ฉันถืออหิงสายิ่งกว่าในพุทธศาสนาด้วยซ้ำไป

นี้ก็เป็นเรื่องต่างๆ ที่นำมากล่าว แต่ภาพหนึ่งที่ปรากฏขึ้นมาก็คือความรู้สึกที่ว่า อินเดียเป็นตู้โชว์อดีต คือใครไปประเทศอินเดีย ก็มุ่งจะไปดูภาพความเจริญซึ่งเป็นอารยธรรมในอดีต เมื่อ ๒,๐๐๐-๓,๐๐๐ ปี ๑,๐๐๐ กว่าปี ๕๐๐-๖๐๐ ปีมาแล้ว คนที่ต้องการไปอินเดีย เพื่อดูภาพปัจจุบันนี้หายาก หมายความว่า ถ้าไม่มีซากของอดีตที่แสดงว่า อินเดียเคยเจริญรุ่งเรืองมีอารยธรรม คนก็ไม่รู้จะไปประเทศอินเดียทำไม เพราะฉะนั้นในแง่นี้ก็เลยเรียกว่าเป็นตู้โชว์ของอดีต

เทวดาเต็มฟ้า ปวงประชาหน้าแห้ง

อยากจะพูดถึงเรื่องที่ควรเน้นสักนิดหน่อย ในเวลาอันจำกัดต้องยกประเด็นอันน่าจะพูดขึ้นมาพูดเป็นเรื่องๆ ทีนี้ในบรรดาเรื่องที่ผ่านมาที่ว่าเหมือน และไม่เหมือนอะไรต่างๆ ในครั้งพุทธกาล กับครั้งปัจจุบันนั้น ก็มีเรื่องที่เด่นในความรู้สึกของอาตมภาพ เมื่อเดินทางไปประเทศ อินเดีย ๒ เรื่อง หรือ ๒ สิ่ง แต่ ๒ เรื่องนี้ อาจจะเป็นเรื่องเดียวกันก็ได้ เพราะบางที ๒ อย่างแต่เป็นเรื่องเดียวกันก็มี ในที่นี้ก็มี ๒ อย่างที่เด่นในความรู้สึก

เรื่องที่หนึ่งคือ ความแห้งแล้ง

สองก็เรื่อง เทวดา

ไปในอินเดีย ภาพสองอย่างนี้มีมาก ทำให้เด่นในความรู้สึก

เรื่องความแห้งแล้งกับเทวดานั้น เป็น ๒ อย่างก็จริง แต่อาจสัมพันธ์เป็นเรื่องเดียวกันก็ได้ ถ้าเอามาบรรจบกันลองพูดดู ก็อาจจะบอกว่า ในประเทศอินเดียนั้น บนแผ่นดินเต็มไปด้วยความแห้งแล้งยากจน บนผืนฟ้าก็เต็มไปด้วยเทวดาผู้ทรงฤทธิ์ เมื่อเอามาบรรจบกันอย่างนี้แล้วจะได้ความคิดว่าอย่างไร

ข้อที่หนึ่ง บางท่านก็อาจจะคิดว่า ประเทศอินเดียก็มีเทวดายิ่งใหญ่ ทรงฤทธิ์อำนาจมาก มีทั้งพระพรหม พระศิวะ พระนารายณ์ ทำไมจึงปล่อยประเทศอินเดียให้โทรม ทำไมไม่ช่วยแก้ไขให้เป็นประเทศที่ยิ่งใหญ่ อุดมสมบูรณ์ เพราะเทพที่นั่นล้วนใหญ่โต เป็นผู้สร้างโลก เป็นผู้ดลบันดาลทุกสิ่งทุกอย่าง คนอินเดียก็บวงสรวงบูชานับถือท่านเหลือเกินด้วย ทำไมท่านปล่อยประเทศอินเดียให้มันแห้งแล้ง ยากไร้อย่างนั้น นี่ก็เป็นแง่ที่หนึ่งที่อาจจะคิดขึ้นมา แง่นี้ขอผ่านไปก่อน

อินเดียคู่เทวดา เมืองไทยจะแถมสุราและการพนัน

ขอแทรกตรงนี้หน่อยว่า เช่นอย่างพระพรหมนั้น เวลานี้ในเมืองไทยก็นับถือเซ่นสรวงบูชาท่านมาก คนบางคนที่รู้เห็นพฤติกรรมของท่านดี อาจจะตัดพ้อท่านขึ้นมาก็ได้ว่า ท่านรับเครื่องเซ่นสังเวยในอินเดียมานาน จนเวลานี้อินเดียแห้งแล้งหมด จะไม่มีอะไรเซ่นไหว้อีกแล้ว และทั้งๆ ที่เขาก็ยังนับถือบูชาท่านอยู่ ท่านก็ละทิ้งเขาเสีย มารับเครื่องเซ่นสรวงบูชาต่อที่เมืองไทย ปล่อยให้อินเดียซูบโทรมผจญชะตากรรมไปตามลำพัง ต่อไปภายหน้า พอเครื่องเซ่นสรวงบูชาที่เมืองไทยร่อยหรอ แผ่นดินไทยแห้งแล้งยากไร้ลง ท่านก็คงละทิ้งแผ่นดินไทยไปหาเครื่องเซ่น ณ ที่ใหม่ในดินแดนอื่น เช่นที่ท่านได้ทำมาแล้วกับอินเดีย

น่าตั้งข้อสังเกตว่า การที่มีความนิยมนับถือบูชาพระพรหมกันมากขึ้นในสังคมไทย จะเป็นสัญลักษณ์ที่แสดงถึง ระบบความสัมพันธ์ระหว่างราษฎรกับผู้ปกครอง หรือผู้เป็นใหญ่ในบ้านเมือง ที่มีการพึ่งพาอาศัย เซ่น (เครื่องเซ่น สังเวย) และ เส้น (เส้นสาย) เพิ่มมากหรือดาษดื่นขึ้น และแสดงถึงสภาพชีวิตจิตใจ ตลอดจนแนวโน้มแห่งพฤติกรรมของประชาชน ที่อ่อนล้าต่อการเพียรพยายามพึ่งตนเอง มีวิถีชีวิตที่เสี่ยง และหันมาเป็นอยู่ด้วยการรอคอยความหวังอย่างเลื่อนลอยมากยิ่งขึ้น สภาพปัจจุบันเป็นไปในลักษณะนี้หรือไม่

แง่ที่สอง อาจจะมีความสัมพันธ์เป็นวงจรแบบปฏิจจสมุปบาท คือว่า คนมีความหวังพึ่งเทวดามาก ก็สวดอ้อนวอน รอความช่วยเหลือ ไม่ทำการทำงาน ไม่เพียรพยายามด้วยตนเอง เมื่อไม่เพียรพยายามด้วยตนเองก็ยิ่งยากจนข้นแค้นลง ยิ่งยากจนข้นแค้นลง ไม่มีใครช่วยเหลือได้ ก็ยิ่งหวังพึ่งเทวดามากขึ้น หวังพึ่งเทวดามากขึ้น ไม่ทำอะไรมันก็ยิ่งยากจน เพราะฉะนั้น มันก็สนับสนุนซึ่งกันและกันให้ยิ่งหนักลงๆ กลายเป็นวงจรแบบปฏิจจสมุปบาทไป

ก็เลยนึกว่า คนอินเดียปลอบใจตัวด้วยเทวดา แล้วก็มานึกถึงเมืองไทยว่า เหมือนคนไทยปลอบใจตัวด้วยสุราและการพนัน นี่เป็นข้อคิดอันหนึ่ง คือเป็นลักษณะของการปลอบใจตัวอยู่ด้วยความหวัง ที่ทำให้ไม่เพียรพยายาม ขวนขวายที่จะแก้ไขปรับปรุงทำการงาน เฝ้าแต่รอคอยผลที่จะลอยมา อันนี้ก็จะเป็นทางแห่งความเสื่อม จะเป็นการปลอบใจตัวด้วยเทวดา หรือจะปลอบใจด้วยสุราและการพนัน ก็จะมีผลออกมาคล้ายๆ กัน

ทีนี้เมื่อมานึกถึงเมืองไทยเรานี่ มันจะหนักขึ้นไปอีก เดี๋ยวจะเพิ่มการปลอบใจตัวด้วยเทวดาเข้ามาอีกหนึ่ง ก็เป็นสาม คือ ปลอบใจตัว ทั้งด้วยเทวดา ทั้งด้วยสุรา และด้วยการพนัน ถ้าอย่างนี้ก็ไม่รู้ว่าจะพัฒนาประเทศกันได้อย่างไร นี่ก็เป็นข้อคิดต่างๆ ที่เกิดขึ้นมา

ท่าทีพุทธกับท่าทีพราหมณ์ ในการนับถือเทวดา

อย่างเรื่องเทวดาของอินเดีย ท่านมีอิทธิฤทธิ์ต่างๆ มากมายเหลือเกิน เทพเจ้า ๒ องค์ อาจจะมารบกัน ยกกองทัพมา มีพลนิกายเป็นแสน เป็นล้าน เป็นโกฏิ ยกทัพมาแล้ว ก็แสดงฤทธิ์กัน เทพองค์ ก. อาจจะดลบันดาลด้วยอิทธิฤทธิ์ให้เทพองค์ ข. ตกจากสวรรค์ลงไปใต้บาดาล เทพองค์ ข. นั้น ตกไปใต้บาดาล แล้วก็แสดงฤทธิ์ บันดาลให้ตัวใหญ่โตขึ้นมา สูงจากบาดาลขึ้นมาถึงสวรรค์ ตัวใหญ่มาก ก็จับเทพองค์ ก. เทพองค์ ก. ก็เอาพระขรรค์ขว้างไปถูกเทพองค์ ข. เสียงดังเปรี้ยงปร้างพระเศียรขาด อะไรทำนองนี้ ก็เป็นเรื่องสนุกสนาน อัศจรรย์ คึกคักดี คนที่นับถือฟังเรื่องเหล่านี้ ก็ทำให้ลืมความทุกข์ยากไปได้ชั่วคราว สนุกสนานตื่นเต้น ก็เลยมีความหวังกับเทพเจ้าผู้ยิ่งใหญ่ นี่ก็เป็นเรื่องของเทวดาที่มีมาในคติของฮินดู

ในพุทธศาสนาเรา ก็กล่าวถึงเรื่องเทวดาเหมือนกัน อาตมภาพว่าในสมัยปัจจุบันนี้ การเกี่ยวข้องกับเทวดาชักจะมากขึ้น เราน่าจะมาพูดถึงทัศนคติท่าทีของพุทธศาสนาต่อเทวดา ให้มันชัดเจนยิ่งขึ้น โดยเฉพาะว่ามันต่างจากความนับถือของศาสนาพราหมณ์หรือฮินดูอย่างไร มิฉะนั้นแล้วชาวพุทธจะไขว้เขว ซึ่งการแยกการปฏิบัติให้ถูกต้องเป็นเรื่องสำคัญมาก

พระพุทธเจ้าทรงสอนหลักธรรมไว้ข้อหนึ่ง ให้ระลึกถึงเทวดา เรียกว่า เทวตานุสติ แต่ท่านหมายความว่าให้ระลึกถึงคุณธรรมความดีงาม ที่จะทำให้เป็นเทวดา เช่น ความมีหิริโอตตัปปะ เป็นต้น คือระลึกถึงในการที่จะประพฤติปฏิบัติตนให้น่านับถือ ให้ตัวเองเป็นเทวดาได้ ไม่ใช่ระลึกถึงเพื่อเซ่นสรวงอ้อนวอนขอผลจากเทวดา

พระพุทธเจ้าประกาศอิสรภาพให้แก่มนุษย์

อาตมภาพอยากจะยกพุทธพจน์ข้อหนึ่งขึ้นมาอ้างไว้ก่อน เมื่อพระพุทธเจ้าประสูติ ท่านเล่าว่าพระองค์ได้ประกาศเปล่ง อาสภิวาจา หรือวาจาอันอาจหาญว่า อคฺโคหมสฺมิ โลกสฺส, เชฏฺโฐหมสฺมิ โลกสฺส, เสฏฺโฐหมสฺมิ โลกสฺส. แปลว่า เราเป็นบุคคลผู้เลิศแห่งโลก เราเป็นผู้ใหญ่ยิ่งในโลก เราเป็นผู้ประเสริฐสุดในโลก

บางท่านว่า พระพุทธเจ้าทำไมประกาศพระองค์ยิ่งใหญ่อย่างนี้นะ ที่จริงอาตมภาพมองว่านี่คือการประกาศอิสรภาพของมนุษย์ คำต่างๆ ที่พระพุทธเจ้าประกาศในอาสภิวาจานั้น แต่ก่อนโน้น เป็นคำที่ศาสนาพราหมณ์เขาใช้แสดงความยิ่งใหญ่ของพระผู้เป็นเจ้าทั้งนั้น

หมายความว่า ก่อนพุทธกาลนั้น คนทั้งหลายยอมตนต่อเทพเจ้าไปหมด มีแต่เทพเป็นผู้ยิ่งใหญ่ เป็นผู้สร้างโลก เป็นผู้ดลบันดาลทุกอย่าง มนุษย์ได้แต่พากันบูชายัญ บวงสรวงอ้อนวอนด้วยประการต่างๆ ฝากชะตากรรมไว้กับการดลบันดาลของเทพเจ้า เมื่อพระพุทธเจ้าอุบัติขึ้น พระองค์ประกาศอิสรภาพว่า มนุษย์นี่แหละสามารถจะฝึกตนให้ประเสริฐ เป็นพระพุทธเจ้าที่เลิศยิ่งกว่าเทพเจ้าทั้งหลายทั้งหมด เทวดา มาร พรหม ต้องบูชาพระพุทธเจ้าทั้งสิ้น นี่เป็นการประกาศอิสรภาพของมนุษย์ แต่เราได้คติอันนี้หรือเปล่า นี้ก็เป็นข้อที่น่าพิจารณา

หลักการในพระพุทธศาสนานั้น ท่านเปลี่ยนจากการหวังพึ่งเทวดามาเชื่อกรรม เชื่อกรรมก็คือเชื่อการกระทำ หมายความว่า เราต้องการผลก็ต้องกระทำเหตุ เราเชื่อการกระทำไหม มั่นใจในการทำความดีไหม หรือจะเชื่อหวังการอ้อนวอน นี้เป็นเรื่องสำคัญ นี่เป็นจุดตัดสินว่าเป็นพุทธหรือเป็นพราหมณ์

พระพุทธศาสนาไม่ได้ปฏิเสธเทวดา อันนี้เป็นข้อที่ต้องพิจารณากันอย่างหนึ่ง แล้วก็ไม่ได้ให้เป็นปฏิปักษ์ต่อเทวดา แต่ท่านมีหลักการปฏิบัติชัดเจนในเรื่องเทวดา คือให้อยู่ร่วมกันกับเทวดาด้วยไมตรีจิตรมิตรภาพ ฐานเป็นเพื่อนร่วมโลกเพื่อนร่วมทุกข์ ร่วมเกิดแก่เจ็บตายด้วยกันหมดทั้งสิ้น จะเหมือนญาติหรือเหมือนมิตรร่วมโลกก็แล้วแต่

ท่านสอนให้แผ่เมตตาแก่เทวดา และให้เอื้อเฟื้อสงเคราะห์เทวดาโดยทำบุญอุทิศไปให้ด้วยซ้ำ ดังที่เรียกเป็นศัพท์ว่า เทวตาพลี แล้วท่านก็สอนตัวอย่างไว้มากมายให้ชาวพุทธปฏิบัติให้ถูกต้องในเรื่องเทวดา แต่บางทีเราก็ไม่ได้สังเกตว่าท่านสอนไว้อย่างไร อาตมภาพจะเล่าเรื่องที่ท่านสอนไว้สัก ๓ เรื่อง แล้วจะสรุปเป็นข้อปฏิบัติของชาวพุทธต่อเทวดาได้

เป็นคนต้องรู้จักพึ่งตน
เพียรพยายามใช้ปัญญาแก้ปัญหา

เรื่องที่หนึ่ง คือ เรื่องมหาชนกชาดก หรือมหาชนกในทศชาติ มหาชนกแสดงวิริยบารมี คือความเพียรพยายาม ท่านเล่าว่า มหาชนกได้เดินทางไปในเรือเดินสมุทร แล้วเรือแตก เมื่อเรือแตกกลางทะเลนั้น คนจำนวนมาก บางพวกก็ได้แต่ทุกข์ใจ ระส่ำระสายร้องไห้เศร้าโศก บางพวกก็แสดงความท้อแท้หมดอาลัยตายอยากในชีวิต บางพวกก็อ้อนวอนเทพเจ้าที่ตนนับถือขอให้มาช่วย แต่มหาชนกโพธิสัตว์หากระทำเช่นนั้นไม่ ท่านใช้ปัญญาของมนุษย์พิจารณาว่า เมื่อปัญหาเกิดขึ้นเช่นนี้เราจะแก้ปัญหาอย่างไร แล้วท่านก็หาทางออก ในที่สุดท่านก็หาได้ท่อนไม้ใหญ่มาท่อนหนึ่ง

พอเรือแตกไม่นาน คนอื่นก็ตายหมด แต่มหาชนกอาศัยท่อนไม้นั้นเกาะลอยไปในทะเล เพียรพยายามว่ายไปเรื่อยไม่รู้จักสิ้นสุด จนกระทั่งนางมณีเมขลา เทพธิดาประจำมหาสมุทรได้มองเห็น และตามดูพฤติกรรมของท้าวมหาชนกนี้ว่า ทำไมจึงเพียรพยายามอยู่ได้อย่างนั้น แล้วก็เลยมาแกล้งทดสอบดู

นางเทพธิดาถามว่าใครนั่นนะ มาเพียรพยายามว่ายน้ำอยู่กลางมหาสมุทร ทั้งๆ ที่มองไม่เห็นฝั่ง ถ้าขืนพยายามอย่างนี้ต่อไป ไม่เห็นจุดหมายก็คงตายเสียเปล่า มหาชนกโพธิสัตว์ ก็ตอบว่า เราจะตายก็ไม่เป็นไร ถ้าเราได้เพียรพยายามทำหน้าที่ของคนแล้ว ถึงจะตายก็ตายไปอย่างไม่เป็นหนี้ใคร ถ้าได้ทำกิจหรือหน้าที่ของลูกผู้ชายแล้ว จะเป็นอย่างไรก็ไม่ต้องเสียใจ ไม่ต้องเดือดร้อนใจ ท่านว่าอย่างนี้ แล้วก็โต้ตอบกันไปมา ในที่สุดนางมณีเมขลาก็เลยช่วยพาขึ้นฝั่งไป นี่เป็นเรื่องที่ ๑ เดี๋ยวจะสรุปว่าท่านสอนอะไรบ้าง

มนุษย์เพียรจริง เทวดาก็กีดกันไม่ได้

เรื่องที่ ๒ มีกษัตริย์ ๒ เมือง คือ กษัตริย์ฝ่าย ก. กับ ฝ่าย ข. ยกทัพมาตั้งเตรียมพร้อมที่จะรบกัน ตอนนั้นก็มีเสียงเล่าลือกันว่า มีพระฤษีท่านหนึ่ง ตั้งอาศรมอยู่ริมแม่น้ำคงคา ฤษีนี้ติดต่อกับพระอินทร์ได้ แล้วก็ถามพระอินทร์ได้ว่า เหตุการณ์ภายหน้าจะเป็นอย่างไร ในเมื่อมีชื่อเสียงเล่าลืออย่างนี้ กษัตริย์ทั้ง ๒ ฝ่าย ก็อยากจะรู้ว่าใครจะชนะ ใครจะแพ้ ก็เลยหาโอกาสลอบไปถามพระฤษีนี้ ปรากฏว่าไปถามคนละครั้ง มหากษัตริย์ฝ่าย ก. ก็ไปถาม พระฤษีก็นัดให้มาวันนั้น ฉันจะพบกับพระอินทร์ก่อน แล้วค่อยมาเอาคำตอบ พอมารับคำตอบ ท่านก็บอกว่า กษัตริย์ ก. ชนะ พระอินทร์บอกแล้วต่อมากษัตริย์ ข. ถามบ้าง ฤษีก็บอกว่า ท่านน่ะจะแพ้ พระอินทร์บอกอย่างนั้น

ทีนี้กษัตริย์ฝ่าย ก. ได้รับคำทำนายว่าจะชนะ มาบอกเสนาข้าทหาร ก็เลยสนุกสนานเพลิดเพลินเลี้ยงดูกันใหญ่ หมู่ทหารเมามายหลับใหลกันเต็มที่ ฝ่ายกษัตริย์ ข. ได้รับคำทำนายว่าจะแพ้ แต่เป็นกษัตริย์ที่ไม่ยอมย่อท้อ ก็เลยยิ่งระวังตัวใหญ่ เตรียมทหารมากยิ่งขึ้น เพียรพยายามกระทำการด้วยความรอบคอบ วางแผนอย่างดี ผลที่สุดเมื่อรบกันจริงก็ปรากฏว่ากษัตริย์ฝ่าย ข. ชนะ

กษัตริย์ฝ่าย ก. ก็เสียใจโกรธเคืองพระฤษีมากว่า ฤษีหลอกต้ม เมื่อหนีทัพไป วิ่งม้าผ่านอาศรมพระฤษี ก็ร้องตะโกนว่าฤษีโกหก ฝ่ายพระฤษีก็น้อยใจว่าพระอินทร์ ทำไมมาหลอกเรานะ ทำให้เราเสียชื่อในหมู่มนุษย์ รอเวลาพระอินทร์ลงมาก็เลยต่อว่าพระอินทร์ พระอินทร์ก็ให้คติออกมา บอกว่า “ความเพียรพยายามของมนุษย์นั้นแม้แต่เทวดาก็เกียดกันไม่ได้” นี่เป็นคติทางพุทธศาสนาในเรื่องเทวดาอย่างหนึ่ง

มนุษย์กับเทวดา ชนะกันที่ธรรม

เรื่องที่ ๓ มีครอบครัวหนึ่งที่นับถือพุทธศาสนา พระภิกษุที่ตระกูลนี้บำรุงอยู่เป็นประจำนั้น ท่านไปอยู่ปฏิบัติธรรมในป่า เทวดาที่อยู่ในบริเวณนั้นก็มีความอึดอัดใจ เพราะมีผู้ทรงศีลทรงคุณธรรมมาอาศัยอยู่ ตนอยู่จะทำอะไรก็ไม่ค่อยสะดวก ก็เลยอยากจะแกล้ง หาทางไล่ให้พระภิกษุองค์นี้หนีไปเสีย แต่ต้องทำให้ท่านเสียศีลก่อนจึงจะไล่ได้ ก็ใช้วิธีไปบีบคั้นเอาทางครอบครัวที่บำรุง โดยไปสิงในร่างของลูกชายของตระกูลนั้น ทำให้คอบิด แล้วก็บอกแก่อุบาสกพ่อบ้านว่า ท่านจะต้องให้พระภิกษุรูปนั้น ทำอย่างนั้น ซึ่งเป็นการทำให้เสียศีล แล้วฉันจึงจะออก อุบาสกเป็นผู้มั่นคงในธรรมก็ไม่ยอมปฏิบัติตาม ลูกฉันจะตายก็ยอมละ แต่ฉันจะไม่ยอมประพฤติละเมิดธรรมเป็นอันขาด ผลที่สุด ด้วยอานุภาพของคุณธรรม ความมั่นในธรรมของอุบาสกผู้นั้น เทวดาก็เป็นฝ่ายแพ้ไป

หรืออย่างเรื่อง อนาถบิณฑิกเศรษฐี ที่เป็นเศรษฐีใหญ่ในสมัยพุทธกาล และเป็นอุบาสกใหญ่ในพระพุทธศาสนาก็เหมือนกัน อันนั้นเทวดาที่อยู่ในเขตบ้านของท่าน ก็มาชวนให้เลิกทำบุญทำทานอะไร เศรษฐีก็ไม่ยอมและขับไล่เทวดาออกจากบ้าน เทวดาเดือดร้อนต้องไปหาทางคืนดี เอาอกเอาใจท่านเศรษฐี สนับสนุนให้ท่านทำกุศล ท่านจึงยอมให้กลับเข้าไปอยู่ในบ้านได้

แด่เทวดา ด้วยท่าทีแบบพุทธ

อันนี้ก็เป็นคติในพุทธศาสนา จะสรุปท่าทีของพุทธศาสนาที่มีต่อเทวดา ก็มีดังนี้

ประการหนึ่ง ท่านให้เราอยู่ร่วมกับเทวดาอย่างมิตร อย่างผู้ร่วมทุกข์ร่วมสุขในโลก ให้แผ่เมตตามีไมตรีจิตต่อกัน ไม่เบียดเบียนกัน ให้เกียรติต่อกัน เคารพนับถือกันเหมือนอย่างญาติมิตรหรือผู้ใหญ่ผู้น้อย แต่ไม่ให้ไปหวังพึ่งอ้อนวอนกันอยู่ มนุษย์ต้องเพียรพยายามทำกิจของตนไป เราต้องเพียรทำกิจหน้าที่ของเราให้เต็มที่ ไม่ต้องรอการอ้อนวอนหรือหวังพึ่งเทวดา

ถ้าเทวดามีคุณธรรม เป็นเทวดาดี เขาเห็นควรช่วยเขาก็จะมาช่วยเอง นั่นก็เป็นเรื่องความดีของเขา เหมือนผู้ใหญ่หรือผู้บริหาร เห็นผู้น้อยเพียรพยายามทำความดี ถ้าผู้ใหญ่หรือผู้ปกครองดี มีคุณธรรม ก็เข้ามาช่วยสนับสนุน ถ้าเทวดาไม่ดี ไม่มีคุณธรรม ไม่มีเทวดาดีมาช่วยก็ให้มันรู้ไป ก็เหมือนอย่างกรณีมหาชนก ท่านทำความเพียรของท่านไป ไม่ต้องคำนึงถึงเทวดาหรืออะไรทั้งนั้น เห็นโดยเหตุผลว่าถูกต้องควรทำแน่นอนก็ทำไป นางมณีเมขลาเป็นเทวดายังมีคุณธรรมอยู่ อดรนทนไม่ได้ก็ต้องมาช่วย อันนั้นเป็นเรื่องของเทวดาเอง เมื่อเขามีคุณธรรมเขาก็มาช่วย ไม่มีคุณธรรมก็ไม่มาช่วย ก็แล้วไป

ประการที่ ๒ ที่บอกไว้ชัดในเรื่องที่ ๒ คือเรื่องความเพียรพยายามของมนุษย์นั้น แม้แต่เทวดาก็เกียดกันไม่ได้ อาตมภาพไปมองภาพอินเดียแล้วก็นึกถึงชาวยิว เป็นเรื่องความคิดคำนึง อาจจริงหรือไม่จริงก็เล่าให้ฟังกัน คนยิวนั้นหวังพึ่งการกระทำของมนุษย์ แต่คนอินเดียหวังพึ่งการกระทำของเทวดา รอคอยการช่วยเหลือของเทวดา

หวังพึ่งการกระทำของมนุษย์อย่างไร คือหวังพึ่งตัวเอง ได้ทราบจากคนที่ไปเมืองยิวมาว่า คนเมืองยิวเขาฝึกกันมาอย่างดี ทุกคนทำได้ทุกอย่าง จะเป็นผู้หญิงก็ตาม ผู้ชายก็ตาม ถ้าลงเรือก็ขับเรือได้ ถ้าขึ้นรถก็ขับรถได้ ขึ้นเครื่องบินก็ขับเครื่องบินได้ มีกรณีต้องเป็นช่างต้องซ่อมอะไรทำได้ทุกอย่าง หมายความว่าคนเดียวทำได้เหมือนกับคนชาติอื่น ๑๐ คน เพราะฉะนั้น รบกับคนชาติอื่นมีกำลังมากกว่า ๑๐ เท่า ๒๐ เท่า เขาก็เอาชนะได้

ที่จริงยิวก็นับถือเทวดาเหมือนกัน แต่เทวดาคือ พระยโหวา ท่านให้แผ่นดินแห่งสัญญาไว้ในกาลภายหน้าอีกนาน ทีนี้จะมาช่วยในอีกกี่พันปี กี่หมื่นปีก็ไม่รู้ ตอนนี้เธอต้องช่วยตัวเองไปก่อน เพราะฉะนั้นพวกยิวก็ต้องช่วยตัวเอง ก็เลยทำกันเต็มที่ ใช้ความเพียรของมนุษย์อย่างสุดกำลัง ไม่รอความหวังจากเทวดา จุดสำคัญก็คือมนุษย์ต้องเพียรพยายามด้วยตนเอง หวังพึ่งการกระทำของตน พุทธศาสนาสอนไว้แล้วให้เชื่อการกระทำ ไม่ใช่ไปหวังพึ่งอ้อนวอนพระเจ้าอยู่

ประการที่ ๓ ในเรื่องการปฏิบัติต่อเทวดาก็คือ ในบรรดาเทวดาทั้งหลายนั้น อาจจะมีเทวดาที่ไม่มีคุณธรรม เทวดามิจฉาทิฐิ เป็นต้น พวกนี้อาจจะมาล่อหลอกมนุษย์ให้มนุษย์ประพฤติผิดธรรม หรือว่ามาช่วยเหลือมนุษย์เพียงหวังเครื่องเซ่นสังเวย เป็นต้น ถ้าหากเป็นเช่นนี้ชาวพุทธก็จะไม่ยอม ต้องถือว่าธรรมเป็นสำคัญ ยึดเอาหลักการไว้ไม่ยอมแม้แต่เทวดา ถ้าหากเขาประพฤติผิดธรรม ธรรมจะต้องเหนือเทวดา ถ้าธรรมขัดกับเทวดา ต้องถือตามธรรม และไม่ยอมแก่เทวดา นี้ก็เป็นคติของพระพุทธศาสนาในเรื่องเทวดา ซึ่งเราไม่ได้ปฏิเสธความมีอยู่ แต่ว่าสอนให้ปฏิบัติให้ถูกต้อง

เทวดาที่พึงปรารถนาในสังคมไทย

อาตมภาพอยากพูดอีกอย่างหนึ่งคือ ความจริง บทบาทของเทวดานั้นก็คล้ายกับบทบาทของผู้ใหญ่ ในสังคมนั้นก็มีผู้ใหญ่และผู้น้อย ในแง่หนึ่งผู้ใหญ่ก็เปรียบเหมือนเทวดา แต่แบ่งออกไปก็มี ผู้ใหญ่ที่เป็นแบบเทวดาฮินดู กับผู้ใหญ่แบบเทวดาพุทธ ถ้าเป็นผู้ใหญ่แบบเทวดาฮินดู ก็เป็นผู้ใหญ่แบบที่มองหาเครื่องเซ่น อาจจะไม่ต้องเป็นเครื่องเซ่นสินบนอะไร อย่างอ่อนๆ ก็อาจจะเป็นการเอาอกเอาใจ การพะเน้าพะนอ แค่นี้ก็ถือว่าเป็นเทวดารอเครื่องเซ่น เรียกว่า เทวดาแบบฮินดู

ทีนี้เทวดาแบบพุทธเป็นอย่างไร เทวดาแบบพุทธนั้นก็คอยดูแลสอดส่องว่า มีใครทำความดีบ้าง ใครทำความดีก็เข้าไปโอบอุ้มสนับสนุน ไม่ต้องรอให้เขามาพะเน้าพะนอเอาใจ เหมือนอย่างเรื่องมหาชนกก็เป็นตัวอย่างที่ได้สอนแล้วว่า บทบาทของผู้ใหญ่ในทางพุทธเป็นอย่างไร เทวดาที่ดีต้องคอยสอดส่องมนุษย์ที่ทำความดี แล้วไปช่วยเหลือเขาเอง ไม่ใช่รอให้มนุษย์ไปอ้อนวอนหรือเซ่นสรวง สังเวยเอาอกเอาใจ

เพราะฉะนั้น ผู้ใหญ่ก็เช่นเดียวกัน ถ้าเราถือเทวดาตามคติฮินดู ต่อไปผู้ใหญ่ของเราก็จะเป็นแบบเทวดาฮินดูคือ เป็นผู้ใหญ่ที่รอการเอาใจ แต่ถ้าเราปฏิบัติให้ถูกตามหลักพุทธศาสนา เราก็จะมีผู้ใหญ่ในสังคมประเภทที่คอยสอดส่องการกระทำความดีของผู้น้อย แล้วไปช่วยโอบอุ้มสนับสนุน

ความจริงเรื่องนี้ก็เป็นวงจร ปฏิจจสมุปบาท มันย้อนกลับไปแล้วก็ย้อนกลับมา ถ้าหากว่ามนุษย์นั้น คอยจะหวังพึ่งเทวดา เซ่นสรวงบูชา ต่อมาเราก็จะมีเทวดาชนิดที่ชอบเครื่องเซ่น หรือเทวดาที่ชอบเครื่องเซ่นก็จะมาอยู่ใกล้มนุษย์ เทวดาดีๆ ที่จะช่วยเหลือผู้มีคุณธรรม ก็อาจจะหนีหายไปหรือเข้ามาไม่ถึง มันเป็นวงจรกลับไปอย่างนี้

ทีนี้ เมื่อเทวดามาคอยรอเครื่องเซ่นแล้วจึงจะช่วย ก็ยิ่งทำให้มนุษย์ยิ่งเซ่นสรวงมากยิ่งขึ้น แล้วเทวดาก็ช่วยด้วยเห็นเครื่องเซ่น ไม่ใช่ช่วยด้วยเห็นความดี แล้วมนุษย์ก็บ่นกันหาว่าทำดีแล้วไม่ได้ดี คนไม่ทำดีก็ได้ดี วิปริตไปหมด

ฉะนั้น จึงต้องหาทางที่จะแหกวงล้อมทำลายวงจร ปฎิจจสมุปบาทแบบนี้ออกไปเสีย ในสังคมเดี๋ยวนี้ก็เหมือนกัน เมื่อผู้ใหญ่รอการเอาอกเอาใจ ก็จะมีผู้น้อยประเภทไม่ชอบทำการทำงาน ก็อยากมาคอยเอาใจผู้ใหญ่ ผู้น้อยชอบเอาใจผู้ใหญ่ ต่อมาเราก็จะได้แต่ผู้ใหญ่ที่คอยรอการเอาอกเอาใจของผู้น้อย มันกลับไปกลับมา ทีนี้จะแก้จุดไหนมันก็แก้ได้ทั้งสิ้น มันก็ทำให้วงจรนี้ขาดไป

ปฏิบัติผิดต่อเทวดา คือไล่พุทธศาสนาจากแผ่นดินไทย

ทั้งหมดนี้ก็เป็นคติต่างๆ เกี่ยวกับเรื่องเทวดา แต่โดยสรุปก็คือว่า อาตมภาพได้ไปอินเดียมา ซึ่งอินเดียนี้ก็เป็นดินแดนแห่งแสนโกฏิเทวดา ก่อนพุทธกาลนั้นเทวดายิ่งใหญ่มาก ก็เป็นเจ้านายมนุษย์ ครั้นมาถึงพุทธกาล พระพุทธเจ้าได้ทำให้เทวดาลงมาเป็นมิตรของมนุษย์ มาอยู่ร่วมกันฉันมิตร ครั้นภายหลังพุทธกาลต่อมาอีกไม่นาน เทวดาก็เริ่มขยายจำนวนมีมากมายขึ้น แล้วก็มีความยิ่งใหญ่มาก จนกระทั่งในที่สุด แม้พระพุทธเจ้าเองก็ได้กลายเป็นนารายณ์อวตารปางหนึ่งไป

เมื่อพระพุทธเจ้ากลายเป็นเพียงอวตารปางหนึ่งของพระนารายณ์ ผลที่สุดศาสนาพราหมณ์หรือเทวดา ก็เลยเบียดพุทธศาสนาตกจากประเทศอินเดียไป อย่างที่เป็นอยู่ในปัจจุบันนี้ ก็ต้องมาดูว่าประเทศไทยเรานี้กำลังเดินทางไป ในวิถีเดียวกับอินเดียหรือเปล่า ถ้าเป็นเช่นนั้น พุทธศาสนาก็อาจถูกเทวดาเบียดตกไปจากแผ่นดินไทย เช่นเดียวกัน

ปฏิบัติถูกต่อเทวดา พระพุทธศาสนาจะอยู่คู่ชาติไทย

นี่เป็นคติที่อาตมภาพว่า เอาเรื่องเดียวก็พอในการที่ได้ไปอินเดีย ขอให้มาช่วยกันคิดว่า ทำอย่างไรจะให้เราปฏิบัติกันให้ถูกต้องในเรื่องเทวดานี้เป็นต้น ซึ่งมีความหมายรวมมาถึงการปฏิบัติต่อกัน ระหว่างผู้ใหญ่กับผู้น้อยในสังคมด้วย เมื่อปฏิบัติได้ถูกต้องแล้ว มนุษย์ก็จะอยู่ดี พระพุทธศาสนาก็จะคงอยู่ช่วยมนุษย์ได้ และเราก็จะช่วยให้เทวดาสามารถรักษาคุณธรรมของเทวดาไว้ได้ด้วย เมื่อได้พูดมาถึงตรงนี้ก็เป็นเวลาพอสมควร

ในที่สุดนี้ อาตมภาพขออาราธนาคุณพระรัตนตรัย อวยชัยให้พร แด่ท่านผู้สนใจใฝ่ธรรมทุกท่านในที่ประชุมนี้ ขอจงเป็นผู้งอกงามด้วยคุณธรรม และเจริญด้วยประโยชน์สุขจากการปฏิบัติธรรมในทางพระพุทธศาสนา โดยทั่วกันทุกท่าน เทอญ.

The content of this site, apart from dhamma books and audio files, has not been approved by Somdet Phra Buddhaghosacariya.  Such content purpose is only to provide conveniece in searching for relevant dhamma.  Please make sure that you revisit and cross check with original documents or audio files before using it as a source of reference.